กรุงเทพฯ--28 ธ.ค.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
บล.โกลเบล็ก ระบุตลาดหุ้นไทยปี59 ผันผวนต่อ จากแรงกดดัน เฟด จ่อขึ้นดอกเบี้ย บวกกับเศรษฐกิจ จีน ยุโรปชะลอตัว กระทบส่งออก แนะจับตาการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ หนุนเศรษฐกิจฟื้นตัวมั่นคง ผลักดัน EPS ของบจ.ขยับสูงขึ้น และหนุนให้หุ้นไทยมีระดับ P/E ถูกกว่าตลาดประเทศอื่น หวังดูดเม็ดเงินฝรั่งกลับ แนะกรอบดัชนีหุ้นไทยปีหน้า 1,190 – 1,510 จุด ชูหุ้นกลุ่มแบงก์ KTB เด่นจาก P/BV ต่ำ Yieldสูง รองลงมาอิเล็กทรอนิกส์ รับอานิสงส์บาทอ่อน และกลุ่มท่องเที่ยว AOT รับแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยว ด้านราคาทองคำมีแนวโน้มลงต่อ มองกรอบการเคลื่อนไหวที่ 800-1,300 เหรียญต่อทรอยออนซ์
น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินว่า แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยปี 2559 จะมีความผันผวนสูงต่อเนื่องจากปี 2558 เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐที่ฟื้นตัวดีขึ้น โดยคาดว่าในปี 2559 ธนาคารกลางสหรัฐจะทยอยปรับอัตราดอกเบี้ย FED Fund Rate ขึ้นครั้งละ 0.25% จำนวน 4 ครั้ง รวม 1.00% ซึ่งส่งผลให้กระแส Fund flow มีความผันผวนสูง
ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่ เช่น จีน ยุโรป ยังคงชะลอตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อทิศทางการส่งออกของประเทศไทย อย่างไรก็ตามปัจจัยบวกจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นตามการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะเป็นแรงหนุนให้ดัชนี SET สามารถรีบาวด์ขึ้นได้
นอกจากนี้คาดว่า Fund flow ต่างชาติจะยังไม่ไหลเข้า เนื่องจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED จะส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง และทำให้ Fund flow ที่ไหลเข้าอาจขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังต้องรอภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพเพื่อผลักดันให้ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนให้สูงขึ้น และหนุนให้หุ้นไทยมีระดับ P/E ถูกกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเพื่อดึงดูดให้เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าลงทุนอีกครั้ง
นายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก จำกัด แนะนำ กลยุทธ์การลงทุนปี 2559 โดยให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่ระดับ 1,190 – 1,510 จุด อิงสมมติฐาน GDP ปี 2559 ขยายตัว 4% ซึ่งมีความเป็น ไปได้สูง และจะช่วยหนุน EPS ของบริษัทจดทะเบียนและดัชนี SETให้สูงขึ้น จากการกระตุ้น เศรษฐกิจภาครัฐผ่านการประมูลโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งจะเร่งตัวมากขึ้นในปี 2559 อีกทั้งการลงทุนภาคเอกชนที่มีความเชื่อมั่นมากขึ้น รวมทั้งค่าเงินบาทที่อ่อนค่าจะช่วยหนุนต่อภาคการส่งออก
อย่างไรก็ตามปี 2559 ก็ยังคงมีปัจจัยที่น่าจับตา เช่น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ส่งผลกระทบ ต่อ fund flow และความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก บวกกับภาวะเศรษฐกิจไทยยังต้องรอการฟื้นตัวที่ชัดเจน รวมทั้งปัญหา NPL และภาระหนี้สินสูงของภาคครัวเรือนจากสัดส่วนหนี้สินที่อยู่ระดับสูง ประกอบกับเหตุก่อการร้ายที่เป็นภัยคุกคามการฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรโซน
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในปี 2559 แนะนำซื้อสะสมช่วงอ่อนตัวบริเวณ 1,200 – 1,250 จุด โดยเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารเลือกหุ้นที่ P/BV ต่ำ และมี Dividend Yield สูง แนะนำ KTB เด่นสุด รองลงมากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า และกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม ได้อานิสงส์จากแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยว แนะนำ AOT
อย่างไรก็ตามแนะนำหลีกเลี่ยงลงทุนในกลุ่มที่ทำธุรกิจนำเข้าหรือกลุ่มที่มีหนี้ต่างประเทศในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐสูง เช่น THCOM PTTEP
สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ นายสุทธิพงษ์ ศรีพรประเสริฐ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางราคาทองคำในปี 2559 จะยังมีแนวโน้มปรับลงต่อแต่จะไม่รุนแรงมากเท่ากับปีที่ผ่านมาหลังราคาปรับลงแรงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปี 2556 โดยกรอบแกว่งตัวในกรอบ 800-1,300 เหรียญต่อทรอยออนซ์ โดยมีปัจจัยที่กดดันราคาทองมาจากแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่มีแนวโน้มปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2559 หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2558 ออกมามีแนวโน้มแข็งแกร่ง โดยมีการประเมินว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอีกโดยเฉลี่ยไตรมาสละครั้ง (จากการคาดการณ์ของโกลด์แมน แซคส์ หรือราว 1% ในปีหน้า
อีกทั้งการออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE ของธนาคารกลางยุโรปจะสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินยูโรจากปัจจัยข้างต้นที่เกิดขึ้นจะเป็นตัวสร้างแรงหนุนต่อสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐให้แข็งค่าขึ้นเป็นปัจจัยกดดันทองคำ อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางที่ได้สร้างความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและชาติพันธมิตรฝั่งตะวันตกนำโดยสหรัฐฯจะทำให้มีเงินลงทุนบางส่วนย้ายเข้ามาในทองคำเพื่อลดความเสี่ยง
รวมถึงการเข้าสะสมทองคำของจีนโดยล่าสุดทองคำสำรองของจีน ณ สิ้นเดือนพ.ย.2558 อยู่ที่ 56.05 ล้านออนซ์ (ราว 1,743 ตัน) เพิ่มขึ้น 670,000 ออนซ์ (ราว 21 ตัน) จาก ณ สิ้นเดือนต.ค. ทั้งนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเสถียรภาพของมูลค่าของเงินหยวนเพื่อรองรับมติไอเอ็มเอฟที่จะเพิ่มสกุลเงินหยวนเป็นหนึ่งในสกุลเงินทุนสำรองระหว่างประเทศตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2559 จะสร้างปัจจัยหนุนต่อราคาทองคำ ดังนั้นทิศทางของราคาทองคำในปี 2559 จะยังมีความเสี่ยงที่จะปรับลงต่อแต่จะลดความรุนแรงลง
ดังนั้นจึงมองว่ากลยุทธ์การลงทุนในทองคำควรเน้นการลงทุนไปทางด้านเปิดสถานะ SHORT เพื่อเล่นรอบในทิศทางของขาลง โดยจะเป็นการรอเปิดสถานะ SHORT ช่วงที่ราคาทองมีการฟื้นตัวเพื่อลดความเสี่ยงระยะสั้นของราคาทองที่ปรับลงมามากนับแต่ปี 2556 โดยให้แนวรับ 800- 740 เหรียญต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,300 -1,390 เหรียญต่อทรอยออนซ์