กรุงเทพฯ--30 ธ.ค.--ทริสเรทติ้ง
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ "A+" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งที่บริษัทมีกับกลุ่มเอ็กซอน โมบิล รวมถึงการมีโรงกลั่นน้ำมันและโรงงานผลิตอะโรเมติกส์ที่มีประสิทธิภาพและครบวงจร และสถานะที่แข็งแกร่งของธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากความผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมีที่อยู่ในระดับสูง และการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งที่บริษัทมีกับกลุ่มเอ็กซอน โมบิล รวมถึงประโยชน์ต่าง ๆ ที่บริษัทได้รับจากกลุ่มโดยเฉพาะการสนับสนุนทางการเงินซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถเผชิญกับความผันผวนของธุรกิจปิโตรเลียมและปิโตรเคมีได้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจปิโตรเลียมในประเทศไทยเอาไว้ได้ ทั้งนี้ ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า โอกาสที่บริษัทจะได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีค่อนข้างจำกัดเนื่องจากความผันผวนของราคาน้ำมันและภาวะอุปทานส่วนเกินของพาราไซลีน อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของบริษัทมีโอกาสที่จะลดระดับลงหากบริษัทไม่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเอ็กซอน โมบิล หรือหากกลุ่มเอ็กซอน โมบิล ลดสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ในบริษัท หรือสถานะทางการเงินของบริษัทไม่สามารถปรับตัวดีขึ้นได้อย่างที่คาดหวังไว้ในระยะ 3 ปีข้างหน้า
บริษัทเอสโซ่ (ประเทศไทย) เป็นบริษัทในเครือเอ็กซอนโมบิล คอร์ปอเรชั่น (เอ็กซอน โมบิล) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจการกลั่นน้ำมันและผลิตเคมีภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก บริษัทมีประวัติการดำเนินงานที่ยาวนานในธุรกิจปิโตรเลียมในประเทศไทยโดยบริษัทและบริษัทย่อยในกลุ่มเริ่มดำเนินธุรกิจน้ำมันในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2437 และเริ่มธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันในปี 2514 โดย ณ เดือนมีนาคม 2558 ผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทประกอบด้วย ExxonMobil Asia Holding Pte. Ltd. ในสัดส่วน 66% และกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ในสัดส่วน 7% บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งโดยดำเนินงานในธุรกิจหลัก 2 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจการกลั่นและการจัดจำหน่ายน้ำมัน (ธุรกิจน้ำมัน) และธุรกิจการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี (ธุรกิจปิโตรเคมี) ทั้งนี้ ในส่วนของธุรกิจน้ำมันนั้น บริษัทดำเนินกิจการโรงกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์รวมถึงจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการ โดยโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทเป็น 1 ใน 24 โรงกลั่นที่ดำเนินงานโดยบริษัทในเครือเอ็กซอน โมบิลทั่วโลก ในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมีนั้น บริษัทผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในกลุ่มอะโรเมติกส์เป็นหลัก
อันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับกลุ่มเอ็กซอน โมบิล ในหลายด้านอีกด้วย ซึ่งรวมถึงความสัมพันธ์ทางด้านการค้า การดำเนินงาน การเงิน และชื่อเสียงของกลุ่ม จากการเป็นบริษัทในกลุ่มเอ็กซอน โมบิล บริษัทได้ประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญในการกลั่นน้ำมันที่ทันสมัย ตลอดจนได้รับการสนับสนุนทางด้านการดำเนินงานและเทคนิคจากกลุ่ม นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับประโยชน์จากเครือข่ายของกลุ่มเอ็กซอน โมบิล ที่มีอยู่ทั่วโลกในการจัดหาน้ำมันดิบและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัทด้วย บริษัทจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปภายใต้เครื่องหมายการค้า "เอสโซ่" ให้แก่กลุ่มลูกค้าพาณิชย์และลูกค้าปลีกผ่านสถานีบริการ นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับการสนับทางการเงินจากกลุ่มซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินอีกด้วย
อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงประสิทธิภาพของโรงกลั่นซึ่งเชื่อมต่อกับโรงงานอะโรเมติกส์ของบริษัทด้วย บริษัทมีโรงกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์ (Complex Refinery) ด้วยกำลังการกลั่นสูงสุดที่ 174,000 บาร์เรลต่อวัน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 16% ของกำลังการกลั่นทั้งหมดในประเทศไทย นอกจากนี้ บริษัทยังผลิตสารอะโรเมติกส์จากโรงงานที่เชื่อมต่อกับโรงกลั่นน้ำมันด้วย โดยโรงงานอะโรเมติกส์ของบริษัทมีกำลังการผลิตสารพาราไซลีน (Paraxylene – PX) จำนวนทั้งสิ้น 500,000 ตันต่อปี การดำเนินธุรกิจที่ครบวงจรทั้งโรงกลั่นน้ำมันและโรงงานผลิตอะโรเมติกส์ทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการเลือกผลิตผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีระหว่างผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ในปี 2557 ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่บริษัทกลั่นได้ประกอบด้วยน้ำมันดีเซล 37.7% น้ำมันเบนซิน 19.3% รีฟอร์เมต (Reformate) 13.5% น้ำมันเตา 9.7% น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน 9.1% และอื่น ๆ 10.7% ด้วยเทคโนโลยีและการดำเนินงานตามปรัชญาของเอ็กซอน โมบิล ทำให้โรงกลั่นของบริษัทได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มโรงกลั่นชั้นนำในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิกที่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน
นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันของบริษัทจากการมีตราสินค้าที่มีชื่อเสียง ช่องทางจำหน่ายที่กว้างขวาง และการดำเนินงานของสถานีบริการที่มีประสิทธิภาพโดยวัดจากยอดจำหน่ายต่อสถานีด้วย บริษัทมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งจากตราสินค้าที่มีชื่อเสียงซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปชนิดพิเศษซึ่งมีราคาสูงได้ นอกจากนี้ บริษัทยังมีเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันที่กว้างขวาง โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2558 บริษัทมีสถานีบริการน้ำมันที่บริหารงานภายใต้เครื่องหมายการค้า "เอสโซ่" จำนวน 526 แห่ง และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทมียอดจำหน่ายน้ำมันผ่านเครือข่ายสถานีบริการมากเป็นอันดับ 3 อีกทั้งสถานีบริการน้ำมันของบริษัทยังสามารถสร้างยอดจำหน่ายต่อสถานีได้ในระดับสูงเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการอื่น ซึ่งสถานะที่แข็งแกร่งของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันดังกล่าวช่วยบรรเทาผลกระทบจากวัฏจักรของธุรกิจน้ำมันให้แก่บริษัท
ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากความผันผวนในระดับสูงของอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ทั้งนี้ ราคาน้ำมันลดลงอย่างมากตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2557 จากอุปสงค์ที่อ่อนตัวและอุปทานส่วนเกินที่อยู่ในระดับสูง เช่นเดียวกับบริษัทอื่น ๆ ในธุรกิจการกลั่นน้ำมัน บริษัทเผชิญกับความเสี่ยงจากความผันผวนในระดับสูงของราคาน้ำมันซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรและค่าการกลั่นที่ผันผวน นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังมีข้อจำกัดจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันด้วย แม้ว่าราคาน้ำมันที่ลดลงจะช่วยเพิ่มอุปสงค์และการบริโภคน้ำมัน แต่การแข่งขันยังคงรุนแรงจากจำนวนสถานีบริการที่เพิ่มมากขึ้น
บริษัทมีแหล่งรายได้หลักจากธุรกิจค้าน้ำมันซึ่งสร้างรายได้ประมาณ 90%ของรายได้รวม ในขณะที่อีก 10% มาจากธุรกิจปิโตรเคมี ราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างมากตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2557 ต่อเนื่องถึงช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 รวมถึงภาวะอุปทานส่วนเกินของพาราไซลีนส่งผลให้สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลง ในปี 2557 บริษัทมีรายได้ 220,735 ล้านบาท ลดลง 10% เมื่อเทียบกับปี 2556 และมีผลขาดทุนสูงถึง 10,346 ล้านบาท สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทมีรายได้ 130,164 ล้านบาท ลดลง 26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอันเนื่องมาจากราคาน้ำมันที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากราคาน้ำมันผันผวนน้อยลง รวมถึงส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปกับราคาน้ำมันดิบที่กว้างขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2557 ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงาน 1,758 ล้านบาท เมื่อเทียบกับผลขาดทุนจำนวน 4,536 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 ซึ่งเป็นผลจากธุรกิจน้ำมันที่สร้างกำไรจากการดำเนินงานจำนวน 4,089 ล้านบาท ในขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมียังคงได้รับผลกระทบจากภาวะอุปทานส่วนเกิน ซึ่งส่งผลให้เกิดผลขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 2,231 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558
ณ เดือนกันยายน 2558 บริษัทมีเงินกู้รวม 33,102 ล้านบาท โดยประมาณ 60% เป็นเงินกู้ที่ได้รับจากกลุ่มเอ็กซอน โมบิล ซึ่งเพิ่มขึ้นจากประมาณ 0.5% ณ สิ้นปี 2554 การสนับสนุนทางด้านการเงินจากกลุ่มเอ็กซอน โมบิล ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับการสนับสนุนวงเงินกู้ยืมจากกลุ่มเอ็กซอน โมบิล จำนวน 54,000 ล้านบาทอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันบริษัทยังไม่ได้เบิกใช้ โดยวงเงินนี้จะหมดอายุในปี 2559 แต่สามารถต่ออายุออกไปได้อีก 3 ปี ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ 71.5% และคาดว่าจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ในระดับ 65%-70% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยอยู่บนสมมติฐานว่าราคาน้ำมันดิบจะไม่ลดลงอย่างรุนแรงอีกและบริษัทไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เฉลี่ยมากกว่า 4,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2559-2561 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,000-1,300 ล้านบาทต่อปี ทริสเรทติ้งเห็นว่าความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทยังคงเหมาะสมกับระดับอันดับเครดิตในปัจจุบันเนื่องจากการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากกลุ่มเอ็กซอน โมบิล
บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (ESSO)
อันดับเครดิตองค์กร: A+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable