กรุงเทพฯ--5 ม.ค.--มทร.ธัญบุรี
ผู้ช่วยศาสตรจารย์พงษ์ศักดิ์ ทรงพระนาม อาจารย์ประจำสาขาวิชาอาหารและโภชนาการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี แนะนำ 5 เมนูอาหารคาว 1 ของหวาน 1 เครื่องดื่ม เมนูสุขภาพ ได้คุณค่าทางอาหาร วัตถุดิบหาได้ตามท้องตลาด เตรียมจัดฉลองปีใหม่
ผศ.พงษ์ศักดิ์ เล่าว่า สำหรับปีใหม่ที่จะมาถึง อีกหนึ่งกิจกรรมที่ขาดไม่ได้ คือ กิจกรรมการฉลอง ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดยาว จัดกิจกรรมฉลองกันภายในครอบครัว สังสรรค์แบบพี่น้อง สังสรรค์แบบเพื่อน ในการจัดกิจกรรมสิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ อาหารการกิน จากการสังเกตช่วงปีใหม่ส่วนใหญ่จะเป็นเมนูง่ายๆ เน้นเนื้อสัตว์ ปิ้ง ย่าง รับประทานคู่เครื่องดื่ม ซึ่งเมนูดังกล่าวรับประทานมากๆ ส่งผลเสียต่อสุขภาพ รวมไปถึงดื่มเครื่องดื่มที่มึนเมา ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทกัน ปีใหม่ควรจะเริ่มต้นทำสิ่งดีๆ คิดดี ทำดี เมื่อเริ่มต้นดีตลอดปีจะได้พบแต่สิ่งดีๆ ในการจัดกิจกรรมฉลองปีใหม่ ต้องคำนึงถึง 1. คำนึงถึงสถานที่จัด 2. งบประมาณการจัด 3. จำนวนคน เมื่อทราบถึงรายการเบื้องต้นแล้วการจัดวางรายการอาหารคือสิ่งต่อไปที่ต้องคำนึงถึง ในการเริ่มต้นชีวิตที่ดี เพื่อสุขภาพที่ดี ขอแนะนำอาหารสุขภาพ เนื่องจาก 1 ปีที่ผ่านมา บางคนต้องทำงานหนัก กินข้าวไม่เป็นเวลา กินอาหารไม่ครบถ้วนทุกหมู่ ซึ่งการเตรียมอาหาร ต้องคำนึงถึง วัตถุดิบที่สดสะอาด ประโยชน์คุณค่าของอาหาร และที่สำคัญควรมีความหลากหลายของอาหาร
สำหรับวันนี้ขอยกตัวอย่างในการจัดรายการอาหาร สำหรับจำนวนคน 10 – 15 คน แนะนำ 5 เมนูอาหารคาว 1 ของหวาน 1 เครื่องดื่ม ซึ่งเป็นรายการอาหารง่ายๆ เมนูเรียกน้ำย่อย ประเภทสลัดหรือยำ สำหรับเมนูที่แนะนำ "สลัดผักโครงการหลวงกับดอกไม้สด น้ำสลัดน้ำใสกับน้ำมันงา" โดยผักโครงการหลวงเป็นผักปลอดสารพิษ ปัจจุบันซื้อได้ง่าย ซึ่งช่วงหน้าหนาวจะได้ผักที่สดใหม่สะอาด บวกกับดอกไม้ที่หาได้ง่าย ดอกอัญชัน มีสารแอนโทไซยานิน เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเรื่องระบบไหลเวียนของโลหิต ทานคู่กับน้ำสลัดทำเอง ไม่มีไขมัน ส่วนผสมของสลัดผักโครงการหลวงกับดอกไม้สด ผักโครงการหลวง เช่น กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค ผักกาดแก้ว แครอท กระหล่ำปลีม่วง มะเขือเทศ แตงกวา ดอกพวงชมพู ดอกอัญชัน ลูกเกดขาว/ดำ เม็ดอัลมอนด์สไลด์ ส่วนผสมน้ำสลัด ได้แก่ เนื้อส้มเขียวหวานใช้ทั้งกลีบปั่น 5 ลูก น้ำมันงา ¼ ถ้วย น้ำส้มไซเดอร์ ¼ ถ้วย มัสตาร์ด 2 ช้อนชา พริกไทย 1 ช้อนชา เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ หัวหอมแดงสับ ¼ ถ้วย น้ำตาลทรายแดง 3 ช้อนโต๊ะ งาขาวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ งาดำคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ นำส่วนผสมทั้งหมดผสมกัน รับประทานกับผักสด
เมนูที่สอง เป็นประเภทของทอด ของโปรดของเด็กๆ ผู้ใหญ่ทานได้ "ไก่ทอดน้ำผึ้ง สมุนไพร" ไก่ที่ใช้เป็นเนื้อช่วงอก มีไขมันน้อย มีสมุนไพรเครื่องเคียง ทอดด้วยน้ำมันถั่วเหลือง ส่วนผสม เนื้ออกไก่ 2 กิโลกรัม (หั่นชิ้นหนาประมาณ 2 ซม.) ซีอิ้ว ¼ ถ้วย ซอสปรุงรส ¼ ถ้วย รากผักชีโขลก 2 ช้อนโต๊ะ พริกไทยบุบ 1 ช้อนโต๊ะ กระเทียมโขลก 3 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนชา น้ำผึ้ง ¼ถ้วย วิธีทำ ผสมเครื่องปรุงรสหมักไก่ทิ้งไว้ 30 นาที จากนั้นนำไปนึ่งพอสุก สำหรับส่วนผสมสมุนไพร กระเทียมเจียว 1 ถ้วย หัวหอมแดงเจียว 1 ถ้วย ใบมะกรูดทอด ½ ถ้วย พริกแห้งหั่นท่อนทอด ¼ ถ้วย เม็ดมะม่วงทอด ½ ถ้วย เม็ดพริกไทยอ่อนทอด ¼ ถ้วย น้ำมันสำหรับทอดไก่ 1 ลิตร วิธีทำ 1. ตั้งน้ำมันให้ร้อนทอดไก่ที่นึ่ง สุกแล้วนำไปหั่นชิ้นพอดำ 2. ผสมกระเทียม หัวหอมแดงเจียว ใบมะกรูด พริกแห้ง เม็ดมะม่วง เม็ดพริกไทย รวมกัน โรยหน้าไก่ทอด
เมนูที่สาม "หมูอบสับปะรดใส่ถั่วแดงหลวง" เมนูอบ หมูจะนุ่มและเปื่อย เนื่องจากมีส่วนผสมของสับปะรด ในการช่วยทำให้หมูนุ่ม และสับปะรดยังช่วยในการย่อยอาหารที่รับประทานเข้าไป ส่วนผสมของเมนูหมูอบสับปะรดใส่ถั่วแดงหลวง หมูสันนอกหั่นหนา ½ นิ้ว 2 กิโลกรัม (หั่นชิ้นหนาประมาณ 2 ซม.) สับปะรดเปรี้ยวหั่นชิ้นพอคำ 2 ลูก พริกไทยป่น 2 ช้อนชา ซอสปรุงรส ¼ ถ้วย แป้งสาลี ¼ ถ้วย เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ ซอสมะเขือเทศ 3 ช้อนโต๊ะ น้ำสับปะรด 1 ถ้วย น้ำเปล่า 3 ถ้วย น้ำมันเล็กน้อย ใบกระวาน 5 ใบ เนยสด 2 ช้อนโต๊ะ ถั่วแดงหลวงต้ม 2 ถ้วย วิธีทำ เริ่มจากการหมักหมูกับพริกไทย ซอสปรุงรส ทิ้งไว้ 20 นาที นำมาคลุกกับแป้งสาลีทอด กับน้ำมันน้อยๆ พอเหลืองอ่อนๆ ตักขึ้น จากนั้นเรียงสับปะรดลงในหม้อ ใส่หมูลงตามด้วยน้ำ น้ำสับปะรด ซอสมะเขือเทศ ใบกระสาน เนยสด ปิดฝาเคี่ยวให้หมูสุกนุ่ม ปรุงรสด้วยเกลือเคี่ยวต่อประมาณ 1 ชั่วโมง ปิดไฟ
เมนูที่สี่ประเภทต้ม เมนู "ต้มจิ๋วเนื้อ" สูตรโบราณที่หาทานได้ยาก ลักษณะรสชาติเปรี้ยว ซึ่งจะใส่มันลงไป สำหรับคนที่ไม่ทานข้าว แต่ได้คาร์โบไฮเดรตจากมัน บวกกับสมุนไพร อย่างเช่นใบกระเพรา ช่วยในการขับลม หอมแดง ช่วยระบบหายใจ เข้าสู่ฤดูหนาวอากาศเปลี่ยนแปลง ส่วนผสมของต้มจิ๋วเนื้อ เนื้อสันในหั่นพอคำ 1 กิโลกรัม มันเทศหั่นพอคำ 1 กิโลกรัม น้ำเปล่า 3.5 กิโลกรัม ใบโหระพาเด็ดใบ 1 ถ้วย หอมแดงซอย 1 ถ้วย พริกขี้หนู 15 เม็ด น้ำมะขาม ¾ ถ้วย น้ำมะนาว ¼ ถ้วย น้ำปลา ½ ถ้วย วิธีทำ 1. แช่เนื้อสันกับน้ำเปล่าประมาณ 30 นาที ยกขึ้นตั้งไฟพอเดือด ลดไฟอ่อน เคี่ยวให้เนื้อนุ่ม ช้อนฟองออก 2. ใส่มันเทศ พอมันนุ่ม ใส่น้ำมะขาม หอมแดงซอย 3. ต้มสักครู่ ใส่ใบกระเพรา ปิดไฟ ยกลง 4. ปรุงรสด้วยพริกขี้หนู น้ำปลา น้ำมะนาว
เมนูที่ห้า น้ำพริก อยู่คู่คนไทยมาช้านาน "น้ำพริกปลาย่างใส่เกสรบัวหลวง" ส่วนผสม พริกแห้งป่น 1 ถ้วย หัวหอมแดงเจียว 2 ถ้วย กระเทียมเจียว 2 ถ้วย เนื้อปลาย่าง 2 ถ้วย น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมะขามเปียก 1 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ กะปิย่าง 1 ช้อนชา เกสรบัวอบแห้ง 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ 1. โขลกพริกแห้งกับหัวหอมเจียว กะปิย่างให้ละเอียดใส่ปลาย่างโขลกให้เข้ากัน 2. ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำมะขาม เกลือ คลุกเคล้าให้เข้ากัน 3. นำไปคั่วไฟอ่อนๆ พอแห้ง ใส่เกสรบัวอบแห้ง ยกลง 4. รับประทานกับไข่ต้ม ผักต้ม เช่น ฟักทอง ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี ใส่เกสรบัวหลวงลงไป เกสรบัวหลวงมีสรรพคุณทางยา ทำให้หลอดเลือดสูบฉีดดี ขอสำคัญคือน้ำพริกต้องไม่แห้งหรือแฉะเกินไป ถ้าเหลือสามารถเป็นของฝากได้ เป็นของขวัญปีใหม่ต่อไป
เมนูขนมหวาน ไข่กบ นกปล่อย มะลิลอย ไอ้ตื้อ ขนมโบราณสมัยสุโขทัยส่วนผสม เม็ดแมงลัก ¼ ถ้วย (แช่น้ำให้พอง) ลอดช่องใบเตย 1 กิโลกรัม ข้าวตอก 100 กรัม ข้าวเหนียวดำมูน 1 กิโลกรัม ส่วนผสมน้ำกะทิ หัวกะทิ 4 ถ้วย น้ำตาลปี๊บ 500 กรัม เกลือ ½ ช้อนชา น้ำแข็งบดละเอียด วิธีทำ 1. ผสมกะทิกับน้ำตาลปี๊บคนให้ละลาย ใส่เกลือ ตั้งไฟอ่อนๆ คนให้เดือดทั่วกัน อย่าให้เดือดจนเป็นเม็ด ยกลงทิ้งไว้ให้เย็น 2. ตักเม็ดแมงลัก ลอดช่อง ข้าวตอก ข้าวเหนียวดำมูน ใส่ถ้วย เสิร์ฟกับน้ำกะทิและน้ำแข็งบด ส่วนเมนูเครื่องดื่ม น้ำสมุนไพร (ชาเกสรดอกบัวหลวง) ส่วนผสม เกสรดอกบัวหลวงแห้ง 30 กรัม มะตูมแห้ง 300 กรัม ตะไคร้ 8 ต้น น้ำเปล่า 4 ลิตร น้ำตาลทรายแดง 350 กรัม วิธีทำ 1. ย่างมะตูมพอมีกลิ่นหอม 2. ต้มน้ำให้เดือดใส่มะตูมต้มประมาณ 20 นาที 3. ใส่ตะไคร้บุบพอแตก ต้มต่อประมาณ 10 นาที 4. ใส่น้ำตาลทราย คนให้ละลายให้เดือดอีกครั้งใส่เกสรดอกบัวหลวงทิ้งไว้ 5 นาที กรองเอาแต่น้ำรับประทานได้ทั้งร้อนและเย็น
"การรับประทานอาหาร" ถือเป็นกิจกรรมที่สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว เทศกาลปีใหม่ถือเป็นช่วงเวลาดีๆ ซึ่งการรับประทานอาหารร่วมกับคนอื่น การตักอาหารตักมาแต่พออิ่ม ไม่เยอะจนเกินไป ถ้าไม่อิ่มให้ลุกขึ้นไปตักใหม่ ถือว่าเป็นมรรยาทการรับประทานอาหารและการเข้าสังคม ผศ.พงษ์ศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย