กรุงเทพฯ--8 ม.ค.--Chomchaviwan
เปิดรับศักราชต้นปีด้วยไอเดียใหม่ๆ สำหรับการเก็บเงินล้าน เพื่อเป็น Inspiration สำหรับใครหลายๆ คนที่กำลังเริ่มต้นตั้งเป้าหมายในปีนี้ สิ่งที่คุณจะได้จากบทความนี้ไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัวว่าต้องทำธุรกิจอะไร หรือต้องเก็บเงินเดือนละเท่าไรเป็นเวลากี่ปี จึงจะมีตัวเลขในบัญชีเกินหกหลัก สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้คือ วิธีคิดแบบมหาเศรษฐีรอบโลก เพราะความสำเร็จและความร่ำรวยของมหาเศรษฐีตัวจริงไม่ใช่เรื่องของการบริหารธุรกิจอย่างไรทำให้กำไรสูงสุด แต่เป็นการบริหารจัดการกับความมั่งมีอย่างไรให้คงอยู่ตลอดกาล
"ล้านแรก" เริ่มต้นจากการลงมือทำ
พอล เกตตี มหาเศรษฐีคนแรกของอเมริกา กล่าวไว้ว่า ปัจจัยที่จะทำให้ร่ำรวยได้ก็คือ "ความรู้ ความพยายาม และการคิดแบบเศรษฐีเงินล้าน" แล้วการคิดแบบเศรษฐีเงินล้านคืออะไร? ก็คือการคิดภายใต้จิตสำนึกที่รู้สึกกังวลเรื่องกำไรและใส่ใจต่อค่าใช้จ่าย สิ่งที่พอลให้ความสำคัญไม่ใช่เรื่องของการเรียนรู้การทำธุรกิจ แต่มันง่ายกว่านั้น "ถ้าอยากรวย ให้ตื่นแต่เช้า ตั้งใจทำงานทุกวัน และทำธุรกิจเพื่อหาเงิน" นี่คือสิ่งที่มหาเศรษฐีคนแรกของอเมริกาปฏิบัติมาตลอด หลายคนมักกล่าวว่า "คนจะรวย โชคต้องช่วย" สำหรับพอลแล้ว กลับมองว่า "โชคเป็นสิ่งที่เราสร้างเองไม่ได้ แต่การตื่นเช้า ตั้งใจทำงาน และทำธุรกิจ เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนทำได้เองและทำได้ทันที"
ฝึกนิสัย "ประหยัด"
การเริ่มต้นทำอะไรสักอย่างว่ายากแล้ว แต่การปฏิบัติจนเป็น "นิสัย" นั้นยากกว่า ต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามอย่างต่อเนื่อง และนิสัยอย่างหนึ่งที่เศรษฐีตัวจริงมีก็คือ "ประหยัด" คำว่าประหยัดของพวกเขาไม่ใช่เรื่องของการขี้เหนียว แต่มันเป็นทัศนคติและการมองให้ขาดระหว่าง "ความจำเป็น" กับ "ความฟุ่มเฟือย"
ตัวอย่างที่ดีของเรื่องนี้คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เชื่อหรือไม่ว่าเขาซื้อไร่เล็กๆ ให้กับตัวเองได้ตั้งแต่อายุ 14 ด้วยเงินที่เก็บออมจากการส่งหนังสือพิมพ์ จุดเริ่มต้นเล็กๆ ในวันนั้นทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีในวันนี้ แต่ถึงเขาจะเป็นบุคคลที่ร่ำรวยอันดับต้นๆ ของโลก เขาก็ยังพักในบ้านหลังเดิม ขับรถคันเดิม กินอาหารธรรมดา ลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ในขณะที่ พอล เกตตี มหาเศรษฐีคนแรกของอเมริกา เชื่อว่า นิสัยประหยัดและรู้จักใช้จ่ายเป็นสิ่งสำคัญต่อการคิดแบบเศรษฐีเงินล้าน พอลยังเห็นว่านิสัยประหยัดเป็นผลดีกับผู้ที่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง เพราะความประหยัดคือกำไรของธุรกิจ เมื่อไรที่ปฏิบัติจนเป็นนิสัยเมื่อทำธุรกิจ คนพวกนี้จะรู้จักวิธีลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ง่ายดาย
หรือ จอร์จ โซรอส นักวิเคราะห์ค่าเงิน นักลงทุนหุ้น มหาเศรษฐีอันดับที่ 29 ของโลก เขานั่งแท็กซี่ไปทำงานแทนการซื้อรถหรูๆ มาขับด้วยเหตุผลว่า "ผมทำรายได้จากเงินลงทุนได้ประมาณ 39% ต่อปี ถ้าผมซื้อรถ 1 คัน ราคา 1 ล้านบาท ใช้ได้ 10 ปี มันก็จะกลายเป็นเศษเหล็กทันทีที่ผมขาย แต่หากนำเงินที่จะซื้อรถคันนี้ไปลงทุน 10 ปี ผมจะได้เงิน 32 ล้านบาท คิดแบบนี้แล้วผมซื้อไม่ลง"
อย่าเพิ่งลงทุนทำธุรกิจ ถ้าคุณไม่ลงทุนกับตัวเอง
วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีนักลงทุนชื่อดังชาวอเมริกันกล่าวว่า "การลงทุนที่ได้กำไรคุ้มค่าที่สุดคือ การลงทุนกับตัวเอง" ทำไมวอร์เร็นถึงให้ความสำคัญกับการลงทุนกับตัวเอง และการลงทุนกับตัวเองที่เขาพูดถึงคืออะไร? คำตอบก็คือ "ความรู้" ส่วนใหญ่แล้วเงินมากมายมหาศาลที่พวกเขาหามาได้ ล้วนมาจากความเฉลียวในการเปลี่ยนความสามารถของตัวเองให้กลายเป็นตัวเงิน ตัวอย่างที่เห็นภาพชัดคือ บิลล์ เกตต์- สตีฟ จ็อบส์- มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก หรือ เจ.เค. โรล์ลิ่ง พวกเขาใช้ความสามารถเป็นต้นทุนทั้งนั้น ยิ่งคุณมีความรู้มากเท่าไรเท่ากับคุณต่อยอดความคิดและไอเดียให้กับตัวเองมากเท่านั้น
อย่าคิดว่าการลงทุนกับการเรียนจะต้องลงทุนด้วยเม็ดเงินเสมอไป การจัดสรรเวลาให้กับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ก็ถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง แม้แต่ผู้ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจและขึ้นทำเนียบมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของประเทศไทยอย่าง ธนินท์ เจียรนนท์ ก็ให้ความสำคัญกับการใฝ่หาความรู้อยู่เสมอ โดยเฉพาะความรู้ด้านการตลาด เป็นสิ่งที่นักธุรกิจต้องเรียนรู้ตลอดเวลา รวมทั้งการเรียนรู้จากคนที่เก่งกว่าเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เขาเป็นผู้รอบรู้ในศาสตร์แขนงต่างๆ "ผมรักคนเก่ง ผมอยากเป็นเพื่อนกับคนที่เก่ง อยากจะขอความคิดจากคนเก่ง" นี่คือวิธีการเรียนรู้ที่ฉลาดที่สุดของเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองไทย
จัดการทรัพย์สินอย่างเป็นระบบ
นอกจากทักษะการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย อีกหนึ่งทักษะที่เศรษฐีทั่วโลกมีเหมือนกันคือ ทักษะการจัดการทรัพย์สินอย่างมีระบบ คาร์ลอส สลิม เจ้าของธุรกิจสื่อสารชาวเม็กซิกัน ครองแชมป์มหาเศรษฐีของโลกติดต่อกัน 4 ปี เคล็ดลับที่เขามักสอนคนอื่นเสมอคือ การจดรายรับ-รายจ่าย ในแต่ละวัน เขาบอกว่านี่คือพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้รู้จักบริหารจัดการทรัพย์สิน และยังเพิ่มนิสัยของรู้จักคิดก่อนซื้ออีกด้วย
แม้แต่ จอหน์ เดวิด ร็อกกีเฟลเลอร์ จูเนียร์ มหาเศรษฐีคนแรกของโลก ผู้ก่อตั้งบริษัทสแตนดาร์ด ออยล์ อุตสาหกรรมน้ำมันและกิจการโรงกลั่นที่ถือครองเอกสิทธิ์การค้าน้ำมันแต่เพียงผู้เดียวในสหรัฐอเมริกา เขาเป็นเจ้าของโรงกลั่นที่ใหญ่ที่สุดในโลกตั้งแต่อายุ 25 หากย้อนกลับไปดูวัยเด็กจะพบว่าเขาได้รับการสอนจากพ่อแม่ให้รู้จักการทำสมุดบัญชีรายรับ-รายจ่าย รู้ถึงการลงทุนและกำไรที่ได้ว่าคุ้มมากน้อยเพียงไร การใส่ใจทุกเม็ดเงินที่เข้าและออกคือ "กุญแจ" เมื่อคุณจดบันทึกการใช้จ่าย ความปรารถนาที่จะใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายจะหมดไป เพราะจะทำให้คุณเห็นนิสัยการใช้เงินของตัวเองอย่างชัดเจนว่าใช้จ่ายไปกับเรื่องใดมากที่สุด ถึงสิ้นเดือนที่เงินในบัญชีลดลง หากย้อนกลับไปดูประวัติการใช้เงินของตัวเองที่จดอย่างละเอียดจะเห็นเลยว่าคุณทำพลาดตรงไหน ร็อกกีเฟลเลอร์ จูเนียร์ ยังบอกอีกว่า "การหาทรัพย์ยากยิ่งกว่าการเก็บรักษา" ดังนั้นเมื่อทรัพย์มันอยู่ในมือคุณแล้วจงเก็บรักษามันไว้ให้นานที่สุด และวิธีการจัดการทรัพย์สินที่ง่ายที่สุดคือ "การออม"
สมการการเงิน ง่ายๆ ของเศรษฐี รายรับ – เงินออม = รายจ่าย
แอนดรูว์ คาร์เนกี ราชาอุตสาหกรรมเหล็กในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 กล่าวว่า "ผมร่ำรวยจากการเก็บออม ทราบกันไหมว่าลักษณะที่เหมือนกันของมหาเศรษฐีคืออะไร นั่นคือการที่มีรายได้มากกว่ารายจ่าย มหาเศรษฐีทุกคนเริ่มเก็บเงินตั้งแต่หาเงินได้" การที่ตระกูลของมหาเศรษฐีรอบโลกยังคงรักษาสถานทางการเงินไว้ได้หลายชั่วอายุคน ไม่ใช่การปลูกฝังเรื่องการหาเงินให้มาก แต่เป็นการปลูกฝังให้รู้จักการจัดการทรัพย์สินที่หามาได้อย่างเป็นระบบต่างหาก
หมายความว่า เมื่อพวกเขาหาเงินได้ สิ่งแรกที่ทำคือ "ออมเงิน" จำนวนเงินที่เหลือจากการออมคือเงินสำหรับใช้จ่าย แสดงให้เห็นว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับการออมเงินเป็นอันดับแรก และการออมเงินจะเป็นถนนที่พาคุณไปสู่การเป็นมหาเศรษฐีตัวจริง ว่ากันว่าหากจะเรียกใครว่าเป็นเศรษฐีให้ดูที่ยอดเงินคงเหลือในบัญชี ไม่ใช่รายได้ที่หามาได้ อย่าลืมว่าต่อให้คุณมีรายได้ต่อปีมากมายมหาศาลแต่คุณใช้จ่ายฟุ่มเฟือย สักวันเงินก็หมด
และการเก็บเงินล้านเพื่อเป็นเศรษฐีในอนาคต นอกจากประหยัด มีความรู้ จัดการทรัพย์สินอย่างเป็นระบบแล้ว ก็ต้องหาวิธีการออมเงินแบบแบบฉลาดๆ ด้วย นั่นก็คือ การหาตัวช่วยที่ทำให้เงินออมของคุณงอกเงยเป็นผลตอบแทนที่มากกว่า สำหรับในประเทศไทยตัวเลือกที่ดีในตลาดตอนนี้ ได้แก่ การออมเงินใน ME by TMB ที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไปถึง 5 เท่า และยังจ่ายดอกเบี้ยให้ทุกๆ 6 เดือน ซึ่งหากคุณไม่มีการถอนเงินจากบัญชีเลย ระบบจะถือว่าดอกเบี้ยนั้น ๆ ไปรวมเป็นเงินฝากและคำนวณเป็นดอกเบี้ยให้ด้วย
คุณเองก็เป็นเศรษฐีได้ แค่ลงมือปฏิบัติและสร้างวินัยเรื่องการเงินให้กับตัวเองอย่างจริงจัง พร้อมทั้งฉลาดเลือกออมเงินกับสถาบันการเงินที่ให้ผลตอบแทนสูง แล้วคุณจะรู้ว่า "การออม" คือตัวชี้วัดว่า ใครจะเป็นเศรษฐีตัวจริง