กรุงเทพฯ--11 ม.ค.--สภาธุรกิจตลาดทุนไทย
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และ ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนใน 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อเปรียบเทียบจากดัชนีในเดือนที่ผ่านมา โดยนักลงทุนมีความกังวลจากสถานการณ์ต่างประเทศเป็นหลัก ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวลดลงมาอยู่ในกรอบซบเซา (Bearish)
นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO NIDA Investor Sentiment Index) ซึ่งทำการสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มผู้ลงทุน 4 กลุ่มในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในอีก 3 เดือนข้างหน้าว่า "ความเชื่อมั่นนักลงทุนทุกกลุ่มปรับตัวลดลง" อันเนื่องมาจากความกังวลในสถานการณ์ต่างประเทศเป็นหลัก แม้ว่าจะมีปัจจัยเชิงบวกจากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ผลสำรวจสรุปว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจนอยู่ในกรอบซบเซา (Bearish)
· ดัชนีความเชื่อมั่นเดือนมีนาคม 2559 อยู่ในกรอบซบเซา (Bearish) ที่ 73.46 (ช่วงค่าดัชนีระหว่าง 0 - 200) ปรับตัวลดลง 17.85% จากเดือนที่ผ่านมาที่ 89.42 โดยดัชนีรายกลุ่มนักลงทุนปรับตัวลดลงในทิศทางเดียวกัน
· ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนสถาบันต่างประเทศปรับตัวลดลงมากที่สุด (57.15%) อยู่ที่ 33.33 จนแตะระดับ "ซบเซาอย่างมาก" (Extremely Bearish)
· มีเพียงกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศกลุ่มเดียว ที่ดัชนีความเชื่อมั่นอยู่เกณฑ์ทรงตัว (Neutral) แม้ว่าจะปรับตัวลดลงถึงร้อยละ 28.03 อยู่ที่ 90.91
· หมวดอุตสาหกรรมที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดการแพทย์ (HELTH)
· หมวดอุตสาหกรรมที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)
· ปัจจัยเชิงบวก ที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นมากที่สุด คือ นโยบายเศรษฐกิจ
· ปัจจัยเชิงลบ ที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นมากที่สุด คือ สถานการณ์ต่างประเทศ
อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยภายนอกอื่นๆ ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้น อาทิ ภาวะเศรษฐกิจโลก การปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ในรอบถัดไป ปัญหาการเมืองและสงครามระหว่างประเทศที่ยังคงยืดเยื้อ ความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก การไหลออกของกระแสเงินทุน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายในประเทศที่ส่งผลต่อทิศทางตลาดหุ้น ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ การส่งเสริมการลงทุน รวมทั้งการลงทุนของภาครัฐที่เห็นเป็นรูปธรรม เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายต่างๆ รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ยังฟื้นตัวได้ช้าและสถานการณ์ภัยแล้ง เป็นต้น
ดร. เบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้อำนวยการอาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics มองว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2559 ยังสามารถเติบโตได้ที่ 3.5% โดยเครื่องจักรสำคัญที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ได้แก่ ภาคการท่องเที่ยวที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนภาครัฐที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในครึ่งปีหลังเป็นต้นไป นอกจากนี้ภาคการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนที่เริ่มมีสัญญานการฟื้นตัวจากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2559 มาจากภาคต่างประเทศเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีน รวมถึงความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศในภูมิภาคต่างๆ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อาทิ ภาคส่งออกไทยที่ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคทางมาตรการทางการค้ามากขึ้น เช่น IUU และ GSP ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้ตัวเลขส่งออกของไทยขยายตัวได้เพียงเล็กน้อยที่ 1.8% จึงเป็นความท้าทายที่จะต้องใช้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศเข้ามาทดแทนเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
สำหรับมุมมองต่อแนวโน้มของภาคธุรกิจในปี 2559 มองว่าภาคธุรกิจที่สามารถขยายตัวได้ดี ได้แก่ กลุ่มรับเหมาและวัสดุก่อสร้าง กลุ่มโรงแรมและท่องเที่ยว กลุ่มค้าปลีก รวมถึงการขนส่ง ซึ่งจะได้รับผลดีจากการค้าขายชายแดนที่ขยายตัวมากขึ้นหลังจากที่ไทยก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ สำหรับภาคธุรกิจที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจค้าสินค้าการเกษตรและเครื่องจักร ผู้ผลิตและผู้ค้าเหล็ก รวมถึงผู้ผลิตอาหารทะเล เป็นต้น ดร. เบญจรงค์ กล่าว
สอบถามข้อมูลและกิจกรรมต่างๆ เพิ่มเติม ได้ที่ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โทร 02 229 2902-3 หรือ Email: fetco@set.or.th