กรุงเทพฯ--13 ม.ค.--พีอาร์ดีดี
นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยถึง ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงปัจจุบันจนถึงครึ่งปีแรก 2559 มองว่าดัชนียังไม่ปรับตัวมากนัก โดยคาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 1,200 – 1,320 จุด เนื่องจากถูกกดดันจาก 3 กลุ่มธุรกิจหลักซึ่งมีน้ำหนักต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในสัดส่วนที่สูงคือ กลุ่มพลังงาน มีความเสี่ยงในเรื่องของราคาน้ำมัน ซึ่งได้มีการปรับตัวลดลงอย่างมาก และยังไม่มีสัญญาณที่จะฟื้นตัว ทั้งที่มีความตึงเครียดของผู้ผลิตน้ำมันจากตะวันออกกลางแล้วก็ยังไม่ส่งผลให้ราคาปรับสูงขึ้น ส่วนของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ประสบปัญหาเรื่องการปรับปรุงหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และกลุ่มสื่อสาร มีการแข่งขันกันสูงหลังจากประมูลคลื่นความถี่ 4 G
ทั้งนี้จากปัจจัยดังกล่าวจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุนในหุ้นระยะยาว ทำให้ได้ราคาต้นทุนที่ต่ำลง ดังนั้น บลจ.ไทยพาณิชย์ จึงแนะนำให้ทยอยเข้าซื้อกองทุน LTF และ RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเพิ่มเติม เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว พร้อมทั้งการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
นายสมิทธ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) จำนวน 2 กองทุน สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2558 - วันที่ 31 ธันวาคม 2558 ประกอบด้วย กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวปันผล 70/30 (SCBLT1) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวทาร์เก็ต (SCBLTT) จ่ายปันผล รวมมูลค่าประมาณ 208.89 ล้านบาท โดยจะจ่ายเงินให้กับผู้ถือหน่วยในวันที่ 21 มกราคม 2559 นี้
โดยกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวปันผล 70/30 (SCBLT1) จ่ายปันผลในอัตรา 0.10 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นการจ่ายเป็นครั้งที่ 17 ทั้งนี้ที่ผ่านมาได้จ่ายเงินปันผลแล้วเป็นจำนวน 3.6150 บาทต่อหน่วย (นับตั้งแต่วันที่จัดตั้งกองทุน 21 ตุลาคม 2547) โดยเน้นการลงทุนหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีนโยบายหรือมีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉลี่ยในปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม และไม่เกินร้อยละ 70 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม ส่วนที่เหลือลงทุนในตราสารหนี้ และอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยง
และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวทาร์เก็ต (SCBLTT)จ่ายปันผลในอัตรา 0.10 บาทต่อหน่วย เป็นครั้งที่ 10 โดยที่ผ่านมาได้จ่ายเงินปันผลแล้วเป็นจำนวน 2.5000 บาทต่อหน่วย (นับตั้งแต่การจัดตั้งกองทุน 27 มิถุนายน 2550) เน้นการลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี มั่นคง และ/หรือมีแนวโน้มเจริญเติบโตสูงไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม และอาจมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารพอร์ต และตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง
สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนดังกล่าวอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เมื่อเทียบกับดัชนีที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องถึง 14% ในช่วงกรกฎาคม-ธันวาคม 2558