กรุงเทพฯ--7 ธ.ค.--บัวนา วิสต้า อินเตอร์เนชั่นแนล
เจสซี่ คอร์ติ (เลอฟู)
เป็นผู้ให้เสียงตัวละครตลกร่างเล็กผู้คลั่งไคล้แกสต็องเป็นที่หนึ่ง เลอฟูจงรักภักดีอย่างที่สุดและกระตือรือร้นที่จะตอบสนองความต้องการของเพื่อนรักของเขาเสมอ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องงี่เง่าหรือโหดร้ายแค่ไหนก็ตาม
"การพากย์เสียงเลอฟูเป็นงานสนุกมาก" คอร์ติกล่าว "เขาเป็นตัวละครที่ค่อนข้างจะกระตือรือร้นเกินเหตุและพลังงานส่วนใหญ่ก็มักจะหมดไปในทางผิดๆ ผู้กำกับไม่ต้องการให้เสียงของเขาดูน่ารำคาญ หรือชั่วร้าย หรือลึกซึ้งเกินไป ผมจึงต้องพยายามสร้างอะไรที่อยู่ตรงกลางๆให้ได้ ความยากที่สุดอยู่ตรงการสื่อสารทั้งอารมณ์และอารมณ์ขันมากๆออกมาให้ได้ภายในเวลาเพียงสั้นๆ ยิ่งเมื่อต้องรักษาน้ำเสียงแบบนี้ไว้ด้วยตอนร้องเพลงก็ยิ่งเป็นงานที่ยากมาก"
คอร์ติเป็นลูกของนักบวช เกิดในเวเนซูเอล่าและเริ่มจับงานร้องเพลงตั้งแต่ยังเด็กโดยแสดงในคณะคอรัสประจำโบสถ์ของพ่อ เมื่ออายุได้ 5 ขวบ เขาก็ย้ายไปยังอเมริกาพร้อมครอบครัวและเติบโตในนิวเจอร์ซี่ย์โดยไปใช้ชีวิตที่แคลิฟอร์เนียเป็นเวลา 2 ปีด้วย ระหว่างการเรียนสาขาสื่อสารที่ William Patterson College เขาเลือกเรียนวิชาการแสดงเป็นครั้งแรกและค้นพบว่าตกหลุมรักมันเข้าอย่างจัง
ปี 1979 ขณะเป็นนักร้องนำในวงร็อคแอนด์โรลล์วงหนึ่ง คอร์ติไปทดสอบบทครั้งแรกและได้รับเลือกให้แสดงเป็น จูดาส ในละครเดินสายทั่วประเทศเรื่อง Jesus Christ Superstar หลังจากนั้น เขาก็ยึดอาชีพนักแสดงเต็มตัวโดยมีผลงานหลากหลายทั้งในโฆษณา, ละครโทรทัศน์, หนัง และละครเวทีดังๆหลายเรื่อง โดยในแวดวงหลังสุดนี้เขามีผลงาน 4 เรื่องที่ทำไว้ใน Joe Papp's New York Shakespeare Festival (ได้แก่ Phantasma, Rum and Coke, Haggadah และ Lullabye and Goodnight) กับยังได้รับบทนำในละครดังบรอดเวย์เรื่อง Les Miserables
สำหรับผลงานหนังของคอร์ติ มีอาทิ Revenge (กับ เควิน คอสต์เนอร์), Nightlife, DMZ, High Stakes และหนังเคเบิลเรื่อง Florida Straits ส่วนทางโทรทัศน์เขาร่วมแสดงเป็นเวลา 6 เดือนในละครภาคกลางวันเรื่อง Search For Tomorrow และรับบทนักสืบใน Another World นอกจากนั้นเขายังแสดงในหนัง CBS เรื่อง Mother Courage กับ โซเฟีย ลอเรน และเป็นผู้ให้เสียงบรรยายในโฆษณาของ McDonald และ Nestle's Quik Rabbit ด้วย
เร็กซ์ เอฟเวอร์ฮาร์ต (มอริซ)
มอบการแสดงน่าทึ่งให้แก่บทพ่อของเบลล์ ผู้เป็นเจ้าของผลงานประดิษฐ์ที่ทำงานไม่ได้ดีตามแผนเสมอไป แต่ที่เหนืออื่นใดคือ เขาเป็นพ่อที่อุทิศตนเองแก่ลูกสาวสุดที่รักและยอมเสี่ยงชีวิตของตนเข้าปกป้องเธอ
สำหรับเอฟเวอร์ฮาร์ตผู้เป็นนักแสดงมือเก๋าที่มีผลงานละครเวทีมากว่า 50 ปีแล้วนี้ การพากย์เสียงมอริซนับเป็นงานที่น่าสนใจอย่างยิ่ง "นี่เป็นประสบการณ์สุดวิเศษสำหรับผม" เขากล่าวเมื่อครั้งหนังออกฉายในปี 1991 "ช่างตื่นเต้นเหลือเกินที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการสร้างแอนิเมชั่นและได้เห็นพัฒนาการของตัวละคร มอริซเป็นบทที่สนุกมาก เขาป้ำๆเป๋อๆนิดหน่อยตามประสานักประดิษฐ์ทั้งหลายและก็มักจะงงงวยทำอะไรวุ่นวายไม่ได้ประโยชน์เป็นประจำ ผมจึงพยายามพากย์เสียงเขาโดยใส่บุคลิกของ แฟรงค์ มอร์แกน เข้าไปนิดหน่อย"
ผลงานของเอฟเวอร์ฮาร์ตประกอบด้วยละครบรอดเวย์ 27 เรื่องและละครที่เดินสายแสดงทั่วประเทศกับละครท้องถิ่นอีกมากมาย บทโด่งดังที่สุดของเขาก็คือบท เบนจามิน แฟรงคลิน ในละครเวทีเรื่อง 1776 ซึ่งเขาแสดงอยู่ถึง 4 ปีในบรอดเวย์ งานในระยะหลังของเขาเช่น การรับบท เอไล วิตนี่ย์ ประกบ แพ็ตตี้ ลูโปเน ในละครฮิตเรื่อง Anything Goes ส่วนงานละครเรื่องอื่นๆมีอาทิ Woman of the Year, Chicago, Rags และ Working ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโทนี่ นอกจากนั้น เขายังร่วมแสดงในละครของ American Shakespeare Theater หลายเรื่องและในละครที่ลอน ดอนเรื่อง The Odd Couple ด้วย
เอฟเวอร์ฮาร์ตเกิดที่วัตเซก้า อิลลินอยส์ จบการศึกษาจาก University of Missouri กับ New York University ก่อนจะหันเหเข้าสู่อาชีพนักแสดง ในช่วงที่เดินทางไปเที่ยวแคลิฟอร์เนียปลายทศวรรษ 1930 นั้น เขาพบนักเรียนกลุ่มหนึ่งจาก Pasadena Playhouse และตัดสินใจเบนเข็มไปเข้าเรียนที่นั่นร่วมกับนักแสดงดังๆอย่าง วิลเลี่ยม โฮลเดน และ โรเบิร์ต เพรสตัน ทันที
ผลงานหนังของเอฟเวอร์ฮาร์ตมีอาทิ Friday the 13th -- Parts I and III, Power, The Rosary Murders และบทนำใน Family Business ประกบ ฌอน คอนเนอรี่ กับ ดัสติน ฮอฟฟ์แมน ส่วนงานพากย์ก่อนหน้านี้ได้แก่หนังพิเศษของ CBS เรื่อง Trolls กับ Gnomes ซึ่งเขาให้เสียงตัวละครหลายตัว นอกจากนั้น เขายังเป็นดารารับเชิญในละครและซิตคอมทางโทรทัศน์หลายเรื่องด้วย
เอฟเวอร์ฮาร์ตเสียชีวิตเมื่อวันที่ 13 มีนาคม ปี 2000
แอนเจล่า แลนส์บูรี่ (มิสซิสพ็อตต์ส)
เป็นผู้สร้างเสน่ห์สุดโดดเด่นให้แก่ตัวละครกาน้ำชาร่างตุ้ยนุ้ยผู้ชอบให้คำแนะนำประสาคุณแม่ใจดีและเป็นผู้จุดประกายความรักแก่ตัวละครนำทั้งสอง อดีตแม่บ้านประจำปราสาทนางนี้มีบทบาทสำคัญในการทำให้เบลล์รู้สึกอบอุ่นใจเหมือนอยู่บ้านตัวเองและยังเป็นผู้ขับร้องเพลงชื่อเดียวกับหนังในฉากเต้นรำอันสุดซาบซึ้งอีกด้วย
"มิสซิสพ็อตต์สเป็นสุภาพสตรีร่างอ้วนน่ารัก" แลนส์บูรี่กล่าว "และก็ยังเป็นตัวละครแบบคุณแม่ใจดี แถมยังเป็นสาวโรแมนติคที่เฝ้าหวังให้สองพระนางรักกัน ถึงแม้ฉันจะไม่เคยเล่นเป็นกาน้ำชามาก่อน แต่ก็เคยรับบทตัวละครที่คล้ายๆกับมิสซิสพ็อตต์สมาแล้วหลายหน เธอมีบุคลิกเป็นของตัวเองและหากบทเขียนมาอย่างดีเราก็จะเห็นสิ่งนี้ได้ชัดเจน นั่นคืองานของฉันในฐานะนักแสดงที่ต้องสร้างตัวละครตัวนี้ขึ้นมา โดยในกรณีนี้ก็คือการใช้เสียงและสำเนียงพูดของฉันเข้าช่วย"
แลนส์บูรี่ได้รับแรงบันดาลใจในการพากย์เสียงมิสซิสพ็อตต์สจาก เนลลี่ เลิฟเว็ตต์ ซึ่งเป็นตัวละครที่เธอเคยแสดงในละครเพลงยอดฮิตของบรอดเวย์เรื่อง Sweeney Todd และจากตัวละครมิสซิสบริดเจสในละครชุด Upstairs, Downstairs
หนึ่งในความสนุกของงานชิ้นนี้สำหรับแลนส์บูรี่ก็คือ โอกาสที่จะได้ร้องเพลง "Beauty and the Beast" และร่วมงานกับออร์เคสตร้าวงใหญ่ "สำหรับนักแสดงที่ทำงานในละครเพลงแล้ว การมีออร์เคสตร้าวงใหญ่มาคอยบรรเลงตอนเราร้องนับเป็นความน่าตื่นเต้นสุดยอด" แลนส์บูรี่เล่า "ตอนบันทึกเสียง บรรยากาศจะน่าตื่นเต้นมากๆเพราะเรารู้ว่ากำลังทำสิ่งซึ่งจะคงอยู่ต่อไปอีกนานสำหรับคนรุ่นหลัง ฉันตื่นเต้นประสาทเสียมากซะจนทำแท่นวางเนื้อเพลงสั่นรัวตอนพยายามพลิกหน้าใหม่ เพลงนี้วิเศษมากจริงๆและฉันก็ดีใจเหลือเกินที่ร้องได้สำเร็จ"
เส้นทางอาชีพอันโดดเด่นของแลนส์บูรี่นั้นครอบคลุมทุกแขนงของวงการบันเทิง เธอได้รับรางวัลโทนี่ 4 รางวัล, เข้าชิงออสการ์ 3 ครั้ง และเข้าชิงรางวัลเอ็มมี่ถึง 10 ครั้งจากผลงานทางโทรทัศน์มากมาย ช่วงปี 1984-96 เธอรับบท เจสสิก้า เฟลตเชอร์ ในซีรี่ส์ยอดฮิตของ CBS เรื่อง Murder, She Wrote และรับบทนี้อีกครั้งใน Murder She Wrote: South by Southwest (1997) กับ Murder She Wrote: A Story to Die For (2000)
แลนส์บูรี่เกิดในลอนดอน เธอเป็นลูกสาวของพ่อผู้เป็นพ่อค้าไม้ชาวอังกฤษกับแม่ มอยน่า แม็คกิลล์ นักแสดงชื่อดังของวงการละครเวทีลอนดอนยุค 1920 และ 1930 แลนส์บูรี่เริ่มฝึกฝนเป็นนักแสดงที่ Webber-Douglas School แต่ต้องหยุดชะงักไปเพราะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากนั้นครอบครัวของเธอพร้อมน้องชายฝาแฝด บรู๊ซ? กับ เอ๊ดก้าร์ ก็ย้ายไปยังอเมริกา ซึ่งที่นั่นเองที่นักแสดงสาวมากความสามารถผู้นี้ตัดสินใจเข้าเรียนต่อใน Feagin School of Dramatic Arts ในนิวยอร์ค และในที่สุดเธอก็เดินทางไปอยู่กับครอบครัวที่แคลิฟอร์เนีย
ปี 1944 ผู้กำกับ จอร์จ คิวกอร์ เลือกแลนส์บูรี่มารับบทแนนซี่ ใน Gaslight และเธอก็เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงในสังกัดเอ็มจีเอ็ม ซึ่งบทบาทแรกบนจอหนังนี้ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม
แลนส์บูรี่ได้เข้าชิงออสการ์อีกครั้งจากบท ซีบิล เวน ใน The Picture of Dorian Gray (1945) และหลังจากนั้นก็มีผลงานมากมายอาทิ National Velvet, The Harvey Girls, State of the Union, Samson and Delilah, The Court Jester, The Long Hot Summer, The Manchurian Candidate (ซึ่งทำให้เธอได้เข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งที่ 3), The World of Henry Orient, Dear Heart, Mister Buddwing, Something for Everyone, Death on the Nile, The Lady Vanishes, The Mirror Crack'd, The Pirates of Penzance และ The Company of Wolves ในปี 1971 เธอเริ่มเข้ามาร่วมงานกับดิสนีย์โดยรับบท เอ็กแลนทีน ไพรซ์ แม่มดมือสมัครเล่นในหนังเพลงแฟนตาซีเรื่อง Bedknobs and Broomsticks ซึ่งรวมแล้วเธอปรากฏตัวในหนังทั้งสิ้นกว่า 40 เรื่อง และล่าสุดเธอได้รับรางวัลออสการ์อังกฤษที่มอบแก่ผู้ประสบความสำเร็จแห่งวงการหนังด้วย
ปี 1957 แลนส์บูรี่ได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลามจากละครบรอดเวย์เรื่องแรกในชีวิตคือ Hotel Paradiso ซึ่งเธอแสดงประกบ เบิร์ต ลาห์ร สามปีต่อมาเธอตอบรับคำเชื้อเชิญของผู้อำนวยการสร้าง เดวิด เมอร์ริค กลับมาแสดงละครบรอดเวย์อีกครั้งใน A Taste of Honey ตามด้วย Anyone Can Whistle ของ อาร์เธอร์ ลอเรนต์ส กับ สตีเว่น ซอนด์ไฮม์
แลนส์บูรี่ก้าวขึ้นสู่การเป็นดาราดวงเด่นแห่งบรอดเวย์และชนะรางวัลโทนี่วันแรกในปี 1966 ในละครเพลงเรื่อง Mame และได้รับรางวัลโทนี่่สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยมอีกครั้งทั้งจาก Dear World, Gypsy และ Sweeney Todd โดยผลงานโดดเด่นอื่นๆของเธอในแวดวงนี้ได้แก่ การรับบท เกอร์ทรูด ใน Hamlet ของ ปีเตอร์ ฮอลล์ ที่สร้างโดย National Theater Company ปี 1975 และประกบเดม เพ็กกี้ แอชครอฟต์ ในละครของ เอ๊ดเวิร์ด อัลบี้ แห่ง Royal Shakespeare Company เรื่อง All Over
สำหรับผลงานในวงการโทรทัศน์นั้น แลนส์บูรี่ฝากฝีมือไว้ตั้งแต่ซีรี่ส์ Golden Age (ตอน Robert Montgomery Presents, Four Star Playhouse, Studio 57 และ Playhouse 90) ไปจนถึงมินิซีรี่ส์ Little Gloria...Happy at Last และเวอร์ชั่นโทรทัศน์ของ Sweeney Todd กับยังแสดงในหนังและมินิซีรี่ส์ชุดพิเศษอย่าง A Talent for Murder (คู่กับ ลอเรนซ์ โอลิเวียร์), The Gift of Love: A Christmas Story, Lace, Rage of Angels II และ The Shell Seekers ของฮอลล์มาร์ค ปี 1996 เธอรับบทนำใน Mrs. Santa Claus หนังเพลงซึ่ง เจอร์รี่ เฮอร์แมน เขียนขึ้นสำหรับสร้างเป็นหนังโทรทัศน์โดยเฉพาะ
ปี 2000 แลนส์บูรี่ได้รับรางวัล Kennedy Center Honors Lifetime Achievement Award ส่วนรางวัลเชิดชูเกียรติอื่นๆที่เธอได้รับ ได้แก่ Screen Actors Guild Lifetime Achievement Award (1996), รางวัล Silver Mask จากเวที BAFTA ในสาขา Lifetime Achievement, ได้รับการบันทึกชื่อไว้ใน Hall of Fame ของสถาบันศิลปะและวิทยาการโทรทัศน์ (Academy of Television Arts and Sciences), รางวัล National Medal of Arts Award (1997) และ Disney Legends Award ในปี 1995
ปัจจุบันแลนส์บูรี่กับ ปีเตอร์ ชอว์ สามีของเธอผู้เป็นอดีตผู้บริหารเอ็มจีเอ็ม อาศัยอยู่กับลูกๆทั้งสามคนในลอสแอนเจลิส
เพจ โอฮาร่า (เบลล์)
เธอเป็นเจ้าของเสียงไพเราะของนางเอก Beauty and the Beast นักแสดง-นักร้องสาวเจนเวทีที่เคยรับบทนำในละครบรอดเวย์และละครเดินสายเปิดแสดงทั่วประเทศมาแล้วหลายเรื่อง ตลอดจนเป็นเจ้าของเสียงร้องในอัลบั้มระดับชิงรางวัลแกรมมี่คนนี้ ได้รับเลือกจากผู้สมัครนับร้อยสำหรับบทเบลล์หลังจากแสดงให้ผู้กำกับและผู้แต่งเพลงได้เห็นถึงคุณสมบัติยอดเยี่ยมทั้งในฐานะนักแสดงและนักร้อง
"เราต้องการคนที่สามารถใช้เสียงสร้างตัวละครตัวนี้ได้อย่างสมบูรณ์" ผู้กำกับ เคิร์ค ไวส์ กล่าว "ระหว่างการทดสอบ เราจะนั่งหลับตาฟังเพราะต้องการให้เสียงเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่สร้างแรงบันดาลใจแก่เรา เมื่อแกรี่กับผมได้ยินเสียงของเพจเป็นครั้งแรก ทุกอย่างก็ลงตัวทันที เธอมีคุณภาพเสียงที่โดดเด่นมากและยังมีลูกเล่นเล็กๆที่ทำให้เธอพิเศษกว่าคนอื่นด้วย เสียงเธอมีสไตล์ของ จูดี้ การ์แลนด์ เจืออยู่นิดๆ ยิ่งเราฟังเสียงเธอมากเท่าไหร่ก็ยิ่งพบว่าเธอเป็นนักแสดงทรงพลังที่เชี่ยวชาญทั้งในฉากขบขันและฉากดราม่าเร้าอารมณ์ เธอจึงเป็นตัวจริงแท้แน่นอนสำหรับบทนี้"
"ฉันเป็นแฟนของโฮเวิร์ดกับอลันมานานแล้วและรู้จักอัลบั้มของพวกเขาทุกชุด" โอฮาร่าเล่า "ทันทีที่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับโปรเจ็คต์นี้ ฉันก็โทรหาตัวแทนของฉันและบอกเขาว่าอยากไปทดสอบบทเป็นที่สุด ฉันต้องเข้าทดสอบอยู่ถึง 5 ครั้งกว่าจะคว้าบทเบลล์มาได้ แต่ฉันก็รู้สึกมั่นใจมาตั้งแต่แรกเพราะรู้ดีว่านี่แหละบทของฉัน มันเป็นเรื่องที่เรารู้โดยอธิบายไม่ได้น่ะค่ะ"
โอฮาร่าได้รับทราบข่าวว่าเธอคว้าบทนี้สำเร็จในเดือนพฤษภาคม ปี 1990 หรือเพียง 3 วันหลังจาก ไมเคิล พอนเทค แฟนหนุ่มนักแสดงขอเธอแต่งงาน "สัปดาห์นั้นจึงมีแต่เรื่องสุดแสนตื่นเต้นจริงๆ" เธอเล่า
การแสดงหนังแอนิเมชั่นนับเป็นความท้าทายอย่างยิ่งยวดสำหรับโอฮาร่า "งานนี้ยากมากเพราะคุณจะต้องจินตนาการถึงตัวละครอื่นๆรอบๆด้วยเพื่อกำหนดปฏิกิริยาของตัวละครของคุณเองให้ได้ คุณต้องคอยคิดเสมอว่าคนอื่นพูดอะไรและพูดอย่างไร" ขณะเดียวกัน งานชิ้นนี้ก็นับเป็นฝันที่กลายเป็นจริงสำหรับนักแสดงผู้เป็นแฟนแอนิเมชั่นของดิสนีย์มายาวนานอย่างเธอด้วย
ผลงานของโอฮาร่าใน Beauty ทำให้เธอมีกลุ่มแฟนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทั่วโลก นอกเหนือจากรางวัลแผ่นเสียงแพลตินัมสำหรับยอดขายเกิน 1 ล้านของซาวด์แทร็คหนังที่เข้าชิงหลายรางวัลแกรมมี่ชุดนี้แล้ว โอฮาร่ายังมีโอกาสได้ร้องเพลงต่อหน้าผู้ชมนับล้านในงานถ่ายทอดการแจกรางวัลออสการ์ครั้งที่ 64 อีกทั้งยังได้กลับมารับบทเบลล์อีกครั้งใน Beauty and the Beast: The Enchanted Christmas ฉบับวิดีโอปี 1997 ตามด้วยอินเตอร์แอ็คทีฟเกมในรูปแบบ CD-ROM อีกหลายชุดของดิสนีย์
โอฮาร่าเริ่มเล่นละครบรอดเวย์ครั้งแรกด้วยการรับบท เอลลี่ เมย์ ชิปลี่ย์ ใน Showboat ปี 1983 ซึ่งนำแสดงโดย โดนัลด์ โอคอนเนอร์ และรับบทเดียวกันในเวอร์ชั่นโอเปร่าปี 1989 ของ Houston Grand Opera ซึ่งทำให้เธอได้เปิดตัวสู่นานาชาติเมื่อละครเรื่องนี้เดินทางไปแสดงที่ Cairo Opera House ในอียิปต์ และปีเดียวกันนี้ โอฮาร่ารับบทเอลลี่อีกครั้งในอัลบั้มเพลงชิงรางวัลแกรมมี่ที่นำวงโดย จอห์น แม็คกลินน์ ภายใต้สังกัด Angel EMI
โอฮาร่ารับบทฟ็องทีนในละครบรอดเวย์ระดับรางวัลเรื่อง Les Miserables และรับบทนำใน The Mystery of Edwin Drood ทั้งบนบรอดเวย์และในละครเดินสายทั่วประเทศร่วมกับ จอร์จ โรส, คลิฟ เรวิลล์ และ ยีน สเตเพิลตัน ซึ่งในละครเดินสายอีกเช่นกันที่เธอรับบท เอโด แอนนี่ ในผลงานคลาสสิคเรื่อง Oklahoma! ภายใต้กำกับของ วิลเลี่ยมส์ แฮมเมอร์สไตน์
ในระดับนานาชาติ โอฮาร่ามีโอกาสเดินทางสู่ออสเตรเลียเพื่อรับบท เนลลี่ ฟอร์บุช ใน South Pacific และล่าสุดยังได้ไปญี่ปุ่นในฐานะแขกพิเศษของวง Hollywood Bowl Orchestra ส่วนในลอนดอน เธอรับบทวีนัสใน One Touch of Venus ของ เคิร์ต วีลล์ ซึ่งออกอากาศทาง BBC และรับบทเด่นใน Mack and Mable in Concert โดยประกบ ทอมมี่ ทูน, จอร์เจีย บราวน์ และ จอร์จ เฮิร์น โอฮาร่าแสดงร่วมกับ มอรีน แม็คโกเวิร์น ใน Of Thee I Sing/Let Them Eat Cake ของเกิร์ชวิน ภายใต้การดูแลของ ไมเคิล ทิลสัน โธมัส ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ ขณะที่ผลงานบันทึกเสียง Sitting Pretty ของเธอและ เจอโรม เคิร์น ก็ออกจำหน่ายในสังกัด New World ส่วนเวอร์ชั่นเต็มของ South Pacific (กับ ฮุสติโน่ ดิแอ๊ซ) ออกจำหน่ายในปี 1997
ในฐานะนักร้อง ผลงานเดี่ยวชุดแรกของโอฮาร่าคือ Loving You: Paige O'Hara Sings Jerry Herman ออกวางขายในยุโรปและอเมริกาเมื่อหลายปีก่อน โดยภายในชุดประกอบด้วยเพลงคลาสสิคของเฮอร์แมนอย่าง "La Cage Aux Folles", "Loving You" (จากหนังเรื่อง Mame) และ "It Only Takes a Moment" รวมถึงเพลงชื่อเดียวกับหนัง "Beauty and the Beast" และ "When You Wish Upon a Star" ซึ่งเธอร้องคู่กับ โจดี้ เบนสัน (ผู้ให้เสียงแอเรียลใน A Little Mermaid ของดิสนีย์)
สำหรับในแวดวงละครอเมริกันนั้น โอฮาร่ายังแสดงใน Sitting Pretty, The Cat and the Fiddle, Oh Boy และ Lady! Lady! ซึ่งแสดงในคาร์เนกี้ฮอลล์ทั้งหมด กับยังแสดงใน One Touch of Venus ที่ทาวน์ฮอลล์ นอกจากนั้นยังรับบทนำใน Evita และได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลามจากบทฆาตกรสาว วินนี่ รูธ จั๊ดด์ ใน Tiger Lady และเป็นแขกรับเชิญในฐานะนักร้องเดี่ยวของ The Hollywood Bowl, The Boston Pops และ The Turrin Opera House รวมทั้งแสดงในซิมโฟนี่มากมายทั่วอเมริกาด้วย
ในแวดวงโทรทัศน์ โอฮาร่าเคยแสดงเดี่ยวใน An Evening at the Pops ทาง PBS และเป็นแขกรับเชิญใน Larry King Live, Good Morning America, Vicki!, The Joan Rivers Show, CBS Rgis Morning และอีกมาก
ปัจจุบันโอฮาร่าอาศัยอยู่ในลอสแอนเจลิสกับ ไมเคิล พอนเทค สามีผู้เป็นนักแสดงมากความสามารถ เธอเป็นแขกพิเศษในโชว์ The Great Radio City Music Hall Spectular ของ Flamingo Hotel ร่วมกับ Radio City Rocketts และล่าสุด ยังไปปรากฏตัวร่วมกับ โรเบิร์ต กูเล็ต ในคอนเสิร์ตยามเย็น The Man and His Music ของเขาที่เวเนเทียนด้วย
นักร้องและนักแสดงมากความสามารถคนนี้มีคอนเสิร์ตของตนเองร่วมกับสามีในชื่อ From Belle to Broadway ซึ่งรวบรวมเพลงจากผลงานดังๆทั้งในบรอดเวย์และของดิสนีย์ นอกจากนั้น เธอยังเป็นนักวิ่งและนักดำน้ำสกูบ้าตัวยงผู้นิยมการพักผ่อนอย่างสบายๆที่บ้านของเธอเองพร้อมศิลปะอีกแขนงหนึ่งที่เธอหลงใหล นั่นคือการวาดภาพ
(ยังมีต่อ)