กรุงเทพฯ--2 ก.พ.--
จากกระแสข่าวที่ทางรัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข ได้มีแนวคิดปฏิรูปบัตรทอง โดยให้ "ประชารัฐ" ร่วมจ่าย เพื่อเป็นการสร้างระบบหลักประกันมั่นคงและยั่งยืนของระบบหลักกันประกันสุขภาพแห่งชาติ เพราะหากให้รัฐเป็นฝ่ายรับค่าใช้จ่ายอยู่ฝ่ายเดียวเสี่ยงระบบของประเทศจะพังได้
โอกาสนี้ สำนักกฏหมายการแพทย์ กรมการแพทย์ ร่วมกับ สมาคมพิทักษ์สิทธิข้าราชการ ชมรมสายใยความหวังผู้ป่วย สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสคร์ และมหาวิทยาลัยรังสิต จัดประชุมวิชาการ ในหัวข้อ "ประชารัฐร่วมรับผิดชอบระบบหลักประกันสุขภาพที่ยั่งยืน" เพื่อระดมความคิดเห็นในการสร้างสรรค์ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืน และเพื่อจัดทำข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล ซึ่งปัญหาหลายประการของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่บริหารโดย สปสช. ได้แก่งบประมาณที่ไม่เพียงพอ การจ่ายให้สถานพยาบาลต่ำกว่าต้นทุนค่ารักษา การใช้บริการและความคาดหวังของผู้ป่วยเพิ่มขึ้น การยกเลิกการร่วมจ่ายในปี พ.ศ.2549 โดยไม่ได้มีการดำเนินการตามมติ ครม.ในปี 2551 ที่ให้ สปสช. สรุปขอบเขตการบริการที่จำเป็น และกำหนดความจำเป็นเพื่อการร่วมจ่ายสมทบหรือให้การประกันสุขภาพเอกชนมีส่วนร่วม เพื่อแก้ไขปัญหาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพในปัจจุบันและเตรียมตัวรับกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยในที่ประชุมสรุปไปในทิศทางเดียวกันว่าควรมีระบบร่วมจ่าย
โดย ศ.ดร.นพ.อภิวัฒน์ มุทิรางกูร คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า รัฐบาลต้องแก้ปัญหาการรักษาที่ไม่ได้มาตรฐานก่อน เช่น คนป่วยมะเร็งปอดควรได้รับ Targeted therapy ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาได้ถึง 70% แต่พอไม่ได้ก็ตาย แต่บัตรทองใช้ไม่ได้ และโรคชราก็เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายเพิ่ม และต้องแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการของ สปสช. ส่วนการที่ภาคประชาสังคม ซึ่งบอกว่าทำเพื่อจิตสาธารณะ แต่จะไม่จ่ายเงินให้กับการบริการทางสุขภาพ และบอกให้ทุกคนไม่ต้องจ่ายด้วยนั้น ไม่ใช่แนวคิดที่ถูกต้อง
รศ.ดร. ศิริเพ็ญ ศุภกาญจนกันติ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงข้อเสนอจากงานวิจัยหัวข้อการเงินการคลังแบบยั่งยืน ว่ากรณีที่ไม่ปรับเปลี่ยนสิทธิประโยชน์เดิม รัฐต้องหารายได้เพิ่มหรือจัดให้มีระบบร่วมจ่ายหรือปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบร่วมกับการเก็บข้อมูลต้นทุนการให้บริการที่ดี และ กรณีที่มีการจัดประเภทสิทธิประโยชน์หลัก และสิทธิประโยชน์เสริม (เนื่องจากบัตรทองไม่สามารถรักษาได้ทุกโรค) โดยมีการร่วมจ่ายระหว่างผู้ใช้บริการและรัฐบาลสำหรับสิทธิประโยชน์เสริม การร่วมจ่ายก็ทำได้ทั้งการร่วมจ่ายล่วงหน้าและร่วมจ่ายที่เหมาะสมเมื่อเข้ารับการรักษา การจัดสิทธิประโยชน์เป็นแบบหลักและเสริมเพื่อทางเลือกที่เพิ่มขึ้น น่าจะเหมาะสมเพื่อความยั่งยืนของระบบ
ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ สาขาวิเคราะห์ธุรกิจและการวิจัย สาขาวิทยาการประกันภัยและบริหารความเสี่ยง คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เสนอให้มีการจัดตั้งบรรษัทประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยเป็นสิทธิประโยชน์ส่วนเพิ่ม "เช่นตอนนี้ปีหนึ่ง งบบัตรทองจ่ายอยู่ที่ 3,000 บาทต่อปี ถ้าจ่ายเพิ่มขึ้นอีกวันละแค่ 10 บาท ก็จะได้ประกันเทียบเท่ากับประกันสุขภาพกลุ่มของภาคเอกชน ที่สามารถบริหารได้" ประชาชนได้สิ่งที่ดีขึ้น เช่นใช้สิทธินอกเวลาในโรงพยาบาลรัฐ หรือการใช้ยานอกบัญชียาหลัก ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาจากโรงพยาบาลเอกชน
"โรงพยาบาลรัฐสามารถรับการประกันจากบริษัทประกันสุขภาพเอกชน ด้วยงบประมาณที่ไม่มาก เมื่อเทียบกับการทำประกันเพื่อไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ โรงพยาบาลรัฐก็มีรายได้ช่วยเหลือผู้ป่วยบัตรทอง และประชาชนประหยัดเงินเพื่อใช้บริการที่มีคุณภาพ" นายแพทย์ วีรวัฒน์ ยอแสงรัตน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิริโรจน์ ภูเก็ต กล่าวถึงโมเดลความร่วมมือของโรงพยาบาลรัฐและบริษัทประกันเอกชน ที่สามารถนำไปขยายต่อยอดได้
พญ.อรพรรณ เมธาดิลกกุล ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายการแพทย์ กรมการแพทย์ เห็นว่าควรมีการปฏิรูปกฏหมายเพื่อให้การดำเนินงานด้านประกันสุขภาพอยู่ภายใต้กระทรวงสาธารณสุข เพื่อการกำกับดูแลด้วยกลไกการตรวจสอบที่โปร่งใสป้องกันการรั่วไหลของงบประมาณ และควรจัดทำร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งบรรษัทประกันสุขภาพ และขยายขอบเขตการ นำประชากรวัยแรงงานเข้าสู่ระบบประกันสังคม
ที่ประชุมจะจัดทำข้อเสนอเพื่อยื่นต่อรัฐบาล และสนับสนุนการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินการเรื่องนี้ให้เป็นรูปธรรม โดยผู้ร่วมประชุมจะร่วมอาสามาช่วยทำงานต่อไป