กรุงเทพฯ--3 ก.พ.--กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ ๓๒๕/๒๕๕๗-๒๕๕๙ เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหา และการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ว่า จากกรณีหญิง อายุ ๔๑ ปี ป่วยเป็นโรคเนื้องอกในสมอง ตาบอดทั้งสองข้าง ร่างกายอ่อนแรง ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ สามีทอดทิ้งไป และต้องรับภาระเลี้ยงดูลูกชายวัย ๓ เดือน เพียงลำพัง ครอบครัวมีฐานะยากจนและยังไม่มีงานทำ ที่จังหวัดศรีสะเกษ ตนได้กำชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดศรีสะเกษ (พมจ.ศรีสะเกษ) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมบ้านเพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจกระทรวงฯ พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลเรื่องการรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง และหากตรวจสอบพบว่าครอบครัวไม่สามารถดูแลเด็กได้ให้รับเข้ามาอยู่ในความดูแลที่บ้านพักเด็กและครอบครัว สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ต่อไป และกรณีชาวสังคมออน์ไลน์แชร์เรื่องราวขอความช่วยเหลือหญิงชรา อายุ ๗๐ ปี ป่วยเป็นโรคหัวใจโต แต่ต้องทำงานหนักรับจ้างตัดอ้อย มีรายได้วันละ ๑๕๐-๒๐๐ บาท เพื่อนำมาเลี้ยงดูลูกชาย อายุ ๕๐ ปี ที่ป่วยเป็นโรคไต โรคตับ เบาหวาน และตาบอดทั้งสองข้าง ที่จังหวัดชัยนาท ตนได้กำชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชัยนาท (พมจ.ชัยนาท) ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจกระทรวงฯ พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลเรื่องการรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง
"ขณะนี้ในพื้นที่หลายจังหวัดทั่วประเทศ โดยเฉพาะภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ มีสภาพอากาศแปรปรวน ซึ่งอุณหภูมิในพื้นที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ๖-๑๐ องศาเซลเซียส ทำให้อากาศหนาวเย็นอย่างต่อเนื่อง ตนมีความห่วงใยประชาชนที่ประสบภัยหนาว โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเป้าหมายของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ทั้งนี้ ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่แจกผ้าห่ม กันหนาวให้ประชาชนผู้ประสบภัยหนาว พร้อมช่วยเหลือตามภารกิจของกระทรวงฯต่อไป" พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย