กรุงเทพฯ--3 ก.พ.--เอ็ม แอนด์ เอส ครีเอชั่น
พิศาล ธรรมวิเศษ ปลื้ม 7 ปี ปั้นอาณาจักร พีดีเฮ้าส์ จากปี 2552 ยอดขายแค่ 200 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดดเป็นปีละกว่าพันล้านในปัจจุบัน แต่ยอมรับแผนขยาย 50 สาขาทั่วปท.พลาดเป้า เผยแผนการตลาด 5 ปีข้างหน้า (2559-2563) พุ่งเป้าบุกตลาด CLMV หวังดันแบรนด์รับสร้างบ้านคนไทย สร้างชื่อประเทศเพื่อนบ้าน เชื่อตลาดรับสร้างบ้านในอนาคตเน้นแข่งขันนวัตกรรม ชี้ผู้ประกอบการที่ไม่ปรับตัวรอดยาก ด้านแผนรุกตลาดปี 59 ชิมลางเปิดตัว PD Steel House หรือระบบบ้านโครงสร้างเหล็กกล้า ชูจุดเด่นก่อสร้างแล้วเสร็จภายใน 3-6 เดือน ตั้งเป้าเจาะกำลังซื้อผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ ระดับราคา 1-3 ล้านบาท
นายพิศาล ธรรมวิเศษ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดีเฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ เปิดเผยว่า ภายหลังบริษัทฯ ชิงปรับตัวและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในธุรกิจรับสร้างบ้าน เริ่มต้นจาก 1.การนำระบบโครงสร้างคอนกรีตเสา-คานสำเร็จรูป MLS มาใช้ก่อสร้างบ้านทั่วประเทศ 2.การพัฒนาระบบและขยายสาขาทั่วประเทศในรูปแบบแฟรนไชส์รับสร้างบ้าน 3.การขยายสู่ธุรกิจจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง 4.การแตกไลน์สู่ธุรกิจสิ่งพิมพ์และอีเวนต์ ฯลฯ ส่งผลให้ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำธุรกิจรับสร้างบ้าน พร้อมๆ กับทำยอดขายกว่า 1 พันล้านบาทในปัจจุบัน จากเดิมเมื่อปี 2552 มียอดขายเพียง 200 ล้านบาทเท่านั้น แม้ว่าจะไม่สามารถขยายสาขาได้ครบ 50 สาขาตามแผนที่วางไว้ก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นการเติบโตที่ก้าวกระโดดแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งขันระดับเดียวกันในธุรกิจนี้ โดยปัจจุบันศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์มีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 40 สาขา
สำหรับแผนการตลาดใน 5 ปีข้างหน้า บริษัทฯ มีแผนจะขยายศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ ออกไปยังกลุ่มประเทศ CLMV หรือ กัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดต่อกัน ทั้งนี้ การลงทุนและขยายสาขาจะเป็นรูปแบบให้สิทธิ์แฟรนไชส์รับสร้างบ้าน โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการสำรวจทำเลและตลาดมาอย่างต่อเนื่อง โดยเหตุผลที่เลือกบุกตลาดกลุ่มประเทศเหล่านี้ก่อน เพราะเห็นว่า ประการแรก ภาษาและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไม่มาก ประการถัดมา ผู้บริโภคและประชาชนในกลุ่มประเทศ CLMV มีทัศนคติที่ดีต่อแบรนด์สินค้าประเทศ
ไทย ประการที่สาม การสนับสนุนของภาครัฐที่ต้องการให้ธุรกิจแฟรนไชส์ไทยรุกตลาดต่างประเทศ และประการสุดท้าย เรามั่นใจว่านวัตกรรมสร้างบ้านและชื่อเสียงของพีดีเฮ้าส์ จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนและผู้บริโภคได้ไม่ยาก ซึ่งการขยายสาขาในประเทศเพื่อนบ้านตามแผน 5 ปี นอกจากจะเป็นการขยายตลาดรับสร้างบ้านแล้ว บริษัทฯ ยังสามารถนำรายได้เข้าประเทศอีกด้วย
"ปี 2559 บริษัทฯ คาดการณ์ว่าปริมาณและมูลค่าตลาด "บ้านสร้างเอง" ยังอยู่ในภาวะทรงตัว เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ดังนั้นการปรับตัวของผู้ประกอบการที่อยู่ในธุรกิจนี้ เพื่อรับมือกับการแข่งขันนับเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญมาก และเชื่อว่าทิศทางการแข่งขันของธุรกิจสร้างบ้านในอนาคต จะแข่งขันกันเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยีก่อสร้างบ้านมากขึ้น ปัจจุบันประเทศไทยเปิดสู่เออีซีแล้ว ซึ่งคงจะได้เห็นเทคโนโลยีก่อสร้างใหม่ๆ ทั้งจากยุโรป อเมริกา และจีนเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะระบบก่อสร้างกึ่งสำเร็จรูปหรือสำเร็จรูป ที่จะมาทดแทนแรงงานและช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานฝีมือ ดังที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ประสบอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงเป็นการพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมสร้างบ้าน เหมือนหลายๆ ประเทศในแถบเอเชียที่มีการพัฒนาไปก่อนหน้านี้แล้ว เช่น สิงคโปร์ ไต้หวัน ญี่ปุ่น"
ในส่วนของบริษัทฯ เองก็เร่งปรับตัวเองเช่นกัน โดยแผนการตลาดในปี 2559 นี้ ได้ทำการเปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือระบบก่อสร้างใหม่ เพื่อรุกตลาดรับสร้างบ้านในประเทศ ได้แก่ PD Steel House หรือระบบบ้านโครงสร้างเหล็กแบบ Wall Frame ผลิตจากเหล็กกล้ารับกำลังสูง จุดเด่นคือ สามารถก่อสร้างได้รวดเร็วหรือภายใน 3-6 เดือน หวังเจาะกลุ่มกำลังซื้อระดับราคา 1-3 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นกลุ่มกำลังซื้อของตลาดรับสร้างบ้านที่มีฐานใหญ่ที่สุด นอกจากนี้ ยังมุ่งจับกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการสร้างรีสอร์ต และบ้านพักตากอากาศให้เช่า โดยบริษัทฯ มีแบบแปลนให้เลือกปลูกสร้างเกือบ 20 แบบ ทั้งนี้ตั้งเป้ายอดขายในปีแรกนี้ไว้จำนวน 100-120 หลัง มูลค่าประมาณ 200 ล้านบาทเศษ ซึ่งตัวเลขที่ตั้งเป้ายอดขายไว้อาจไม่สูงมากนัก ด้วยเพราะเห็นว่าเป็นผลิตภัณฑ์หรือสินค้าใหม่
นางมาลี สุวรรณสุต กรรมการบริหาร กล่าวเสริมว่า ปัจจุบัน พีดีเฮ้าส์ ถือเป็นผู้ให้บริการสร้างบ้านที่มีระบบก่อสร้างถึง 3 ระบบคือ 1.ระบบคอนกรีตหล่อในที่ 2.ระบบพรีแฟบหรือเสา-คานสำเร็จรูป และ 3.ระบบบ้านโครงสร้างเหล็ก ซึ่งสามารถตอบสนองพฤติกรรมและรสนิยมของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม ทั้งนี้ นอกจากเป้ายอดขายบ้านโครงสร้างเหล็กหรือ PD Steel House ตามที่กล่าวแล้ว บริษัทฯ ยังตั้งเป้ายอดขายบ้านระบบคอนกรีตหล่อนในที่และพรีแฟบไว้อีก 250 หน่วย คาดการณ์มูลค่า 1.2 พันล้านบาทเศษ อย่างไรก็ดี ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่ายังชะลอตัวต่อเนื่อง เป้าหมายที่ตั้งไว้อาจไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด แต่จำเป็นต้องตั้งไว้เพื่อเป็นความท้าทายและถือเป็นบทพิสูจน์ขีดความสามารถขององค์กร