กรุงเทพฯ--3 ก.พ.--สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงเกษตรฯ เพิ่มจุดรับซื้อยาง กระจายครอบคลุมพื้นที่ปลูกทั่วประเทศเล็งดึงปริมาณซื้อขายยางในโครงการฯ เพิ่มขึ้น ให้ กยท. เร่งหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับเงื่อนไขการรับซื้อยางให้สะดวก คล่องตัวขึ้น
พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แถลงถึงความคืบหน้าการรับซื้อยางพาราตามนโยบายรัฐบาลว่า ตามที่กระทรวงเกษตรฯ โดยการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ได้เปิดจุดรับซื้อยางจากเกษตรกรรายย่อยตั้งแต่วันที่25 มกราคม 2559 ที่ผ่านมา ตามโครงการส่งเสริมการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศโดยรับซื้อยางจากเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับ กยท. และตั้งเป้าที่จะขยายจุดรับซื้อเพิ่มขึ้นจาก 621 แห่ง ให้ได้ไม่น้อยกว่า 834 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ที่ปลูกยางพารา โดยมีราคารับซื้อยางแผ่นดิบคุณภาพ 3 กิโลกรัมละ 45 บาท น้ำยางสดราคากิโลกรัมละ 42 บาท และยางก้อนถ้วย ราคากิโลกรัมละ 41 บาท จำนวนไม่เกินไร่ละ 10 กิโลกรัม รวมไม่เกิน 15 ไร่ หรือไม่เกิน 150 กิโลกรัม ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2559
ผลการดำเนินการตามโครงการฯ จนถึงขณะนี้ มีปริมาณยางที่รับซื้อแล้วจำนวน 697.64 ตัน จากเกษตรกรจำนวน 7,171 ราย เป็นยางแผ่นดิบจำนวน 264.03 ตัน น้ำยางสดจำนวน 144.76 ตัน และยางก้อนถ้วยจำนวน 288.86 ตัน คิดเป็นเงินที่จ่ายให้เกษตรกรชาวสวนยาง 29.80 ล้านบาท และจากการสำรวจความพึงพอใจพบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 85 พึงพอใจต่อมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาลดังกล่าว
สำหรับปัญหาที่เกษตรกรนำยางมาขายน้อย มาจากภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือทยอยปิดกรีดยางแล้ว ส่วนภาคใต้มีฝนตกต่อเนื่อง เกษตรกรเลือกขายให้พ่อค้าในพื้นที่เพราะสะดวกกว่า ความกังวลเรื่องคุณภาพยางของเกษตรกรว่าจะไม่ผ่านตามเกณฑ์ที่โครงการฯกำหนด จุดรับซื้อกระจายไม่ทั่วถึง การรับเงินผ่าน บัญชี ธ.ก.ส. ใช้เวลา 2 วัน ปัญหากลุ่ม/สถาบันเกษตรกรไม่สมัครเป็นจุดรับซื้อยางในโครงการฯ เพราะได้รับค่าดำเนินการน้อย แนวทางแก้ไขแก้ปัญหาดังกล่าวกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้สั่งการให้ กยท. รีบประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในสัปดาห์นี้ เพื่อปรับเงื่อนไขการรับซื้อยางให้สะดวกและคล่องตัวขึ้น เปิดจุดรับซื้อยางเพิ่มทุกจังหวัด ประสานกลุ่ม/สถาบันเกษตรกรสร้างความเข้าใจให้เกษตรกรผลิตยางได้คุณภาพตรงตามหลักเกณฑ์การรับซื้อของโครงการฯ และสร้างความเข้าใจให้ชาวสวนยางในพื้นที่รับทราบข้อมูลข่าวสารมากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงค่าดำเนินการ ค่าขนส่งให้เหมาะสม เพื่อจูงใจกลุ่ม/สถาบันเกษตรกรให้สมัครเป็นจุดรับซื้อยางในโครงการฯ
สำหรับความคืบหน้าผลการดำเนินโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ได้จ่ายเงินให้ เกษตรกรชาวสวนยาง แบ่งเป็น เจ้าของสวนยางจำนวน 114,029 ครัวเรือน จำนวนเงิน 976,348,125 บาท คนกรีดยางจำนวน 108,997ครัวเรือน จำนวนเงิน 619,055,850บาท รวมทั้งสิ้นจำนวน 223,026 ครัวเรือน จำนวนเงิน1,595,403,975บาท จากข้อมูลการรับแจ้งเกษตรกรเข้าร่วมโครงการแล้วจำนวน 641,694ครัวเรือน โดย กยท. ลงระบบบันทึกข้อมูลแล้ว 193,937 ครัวเรือน อยู่ระหว่างตรวจสอบและบันทึกข้อมูล 217,013 ครัวเรือน คาดว่าจะบันทึกระบบครบภายในสิ้นเดือนนี้ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของกรมส่งเสริมการเกษตรอีก 230,744 ครัวเรือน
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯได้สั่งการและให้ความสำคัญการดำเนินโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางและโครงการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ ให้โปร่งใส ซื่อสัตย์ สุจริตเพื่อให้เกษตรกรรายย่อยได้รับการช่วยเหลือเท่าเทียมและเป็นธรรม เกิดประโยชน์กับเกษตรกรอย่างเต็มที่โดยมีสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) มาร่วมตรวจสอบด้วย
นอกจากนี้ยังมีการนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาตรวจสอบซึ่งจะเชื่อมโยงข้อมูลกับทะเบียนราษฎร ป้องกันการสวมทะเบียน หรือการเวียนเทียน จึงมั่นใจได้ว่า เงินที่รัฐบาลช่วยเหลือจะถึงมือเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยที่ขึ้นทะเบียนไว้กับ กยท.อย่างเป็นธรรม ทั่วถึงแน่นอน ซึ่งการจ่ายเงินจะโอนเข้าบัญชีเกษตรกรที่เปิดไว้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) โดยตรง