กรุงเทพฯ--4 ก.พ.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
บล.โกลเบล็ก มองราคาทองขึ้นต่อ หลังสหรัฐรายงานตัวเลข GDP ขยายตัวเพียง 0.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลเฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ย เหตุเศรษฐกิจรวมยังอ่อนแอ ให้กรอบสะสม 1,155-1,160 เหรียญต่อทรอยออนซ์ ส่วนกรอบการเคลื่อนไหว SET มองยังเจอแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และเศรษฐกิจจีนหดตัวลง ให้แนวรับที่ 1,280-1,315 จุด แนะลงทุนหุ้นประกาศไตรมาส 4/58 เด่น
นายสุทธิพงษ์ ศรีพรประเสริฐ นักวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS กล่าวว่า ราคาทองคำยังแกว่งตัวในแนวโน้มขึ้นต่อเนื่อง จากการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐเบื้องต้นสำหรับไตรมาส 4/2558 ที่ผ่านมาขยายตัวเพียง 0.7% หรือลดลงจาก 2.0% ในไตรมาส 3/2558 และต่ำกว่าระดับ 3.9% ในไตรมาส 2/2558 ซึ่งข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าวทำให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป เนื่องจากเศรษฐกิจยังคงอ่อนแอ
ขณะที่นายสแตนลีย์ ฟิสเชอร์ รองประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เผยว่าความปั่นป่วนของตลาดการเงินทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมาอาจจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ทำให้เกิดกระแสการคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้อย่างรวดเร็วตามที่คาดการณ์ไว้ในปีนี้ ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงอ่อนค่าลงประกอบกับรายงานภาคการผลิตของสหรัฐและจีนหดตัวลง โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและภาคบริการของจีนชะลอตัวลงในเดือนม.ค. ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐเดือนม.ค.อยู่ที่ระดับ 48.2 ซึ่งต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตยังคงอยู่ในภาวะหดตัว
ดังนั้น ประเมินแนวโน้มราคาทองคำโลกด้านเทคนิค ราคาทองพักตัวช่วงสั้นๆหลังขึ้นแรงจากเส้นแนวรับขาขึ้นและแนวรับเส้นค่าเฉลี่ย 5 และ 10 วัน และยังแกว่งตัวอยู่ในแนวโน้มขึ้นรูปแบบ ROUNDING BOTTOM ขณะที่ค่าสัญญาณทางเทคนิคไม่มีภาวะซื้อมากเกินไป ทำให้แนวโน้มราคาพักตัวในกรอบแคบก่อนปรับขึ้นต่อตามแนวโน้มขึ้นเดิมโดยให้แนวรับ 1,100-1,095 เหรียญต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,155-1,160 เหรียญต่อทรอยออนซ์
ด้านแนวโน้มตลาดหุ้น น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า แนวโน้มภาวะตลาดหุ้นไทยได้รับแรงหนุนจากการที่ ธนาคารกลางจีน (PBOC) อัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบต่อเนื่อง โดยในเดือนมกราคมมีการอัดฉีดเงินเข้าระบบแล้วกว่า 2 ล้านล้านหยวน (10.84 ล้านล้านบาท) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในช่วงก่อนถึงเทศกาลตรุษจีน
ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย สรุปยอดค้างสินเชื่อในเดือนธันวาคมว่า ขยายตัว 5.6% จากการเพิ่มขึ้นของครัวเรือน ตอบรับมาตรการกระตุ้นรัฐบาล สินเชื่อรถมีการฟื้นตัวขึ้นหลังจากหดตัวลง 19 เดือนติดต่อกัน ส่วนภาคธุรกิจมีปริมาณสินเชื่อเพิ่มขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารและขนส่ง นอกจากนี้ยังได้ปัจจัยหนุนจากจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2560 เป็นงบประมาณขาดดุล 3.9 แสนล้านบาท เท่ากับปีงบประมาณ 2559 ภายใต้สมมติฐานการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP) ในปี 2560 เติบโต 4% เงินเฟ้อที่ระดับ 2% อีกด้วย ซึ่งบ่งชี้ว่าจะเห็นการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจและโครงการลงทุนขนาดใหญ่
อย่างไรตามก็ยังมีปัจจัยที่ยังคงกดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากปลายปีที่แล้ว และไม่มีความหวังว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน(โอเปก) และผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกจะจัดประชุมฉุกเฉินเพื่อหารือเกี่ยวกับการลดกำลังการผลิตเกิดขึ้น ขณะที่กำลังการผลิตนำมันของรัสเซียเพิ่มสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนมกราคม และสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ การคาดการณ์ตัวเลขการส่งออกปี 2559 โดยหน่วยงานอื่นต่ำกว่าเป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ที่ระดับ 5% โดยสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทยคาดว่าจะเติบโต 2% ส่วนนักเศรษฐศาสตร์จากจุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัยมองว่าการส่งออกจะหดตัว 0.2% รวมทั้ง Fund Flow ต่างชาติมีการขายสุทธิตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีราว 9.4 พันล้านบาทอีกด้วย
ด้านนายชัยยศ จิวางกูรผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก จำกัด ประเมินกลยุทธ์การลงทุนใน SET ว่า ความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัวหลังจากตัวเลขเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐฯและจีนหดตัวลง รวมถึงราคาน้ำมันที่ทรุดตัวลงแรงเป็นแรงกดดันหลักต่อภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้
ดังนั้นคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะมีแรงซื้อดักงบและปันผลปี 2558 ที่จะทยอยประกาศในเดือนกุมภาพันธ์ ช่วยพยุงไม่ให้ดัชนีทรุดตัวแรงมากนัก โดยคาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวในกรอบ 1,280-1,315 จุด แนะนำกลยุทธ์การลงทุน Selective Buy ในกลุ่มที่ปัจจัยบวกสนับสนุนได้แก่ กลุ่มที่คาดว่างบปี 2558 และ ผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2558 เติบโตขึ้น แนะนำ EPG, QTC, FSMART, KCE, TVT, GL, BEAUTY, EA, SYNEX, SMPC, SPALI, ORI, UBIS ช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว และได้ประโยชน์จากต้นทุนน้ำมันปรับตัวลง แนะนำ AOT, BA, AAV และ กลุ่มจ่ายปันผลสูง แนะนำ INTUCH, ADVANC และ KTB