กรุงเทพฯ--10 ก.พ.--พลัส พร็อพเพอร์ตี้
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยผลสำรวจตึกสูงในเขตกรุงเทพมหานคร พบมากกว่า 3,000 อาคาร สูงเกิน 7 ชั้น และส่วนใหญ่อายุเฉลี่ยประมาณ 20 ปี ผู้ดูแลอาคารควรวางแผนบริหารดูแลอย่างเป็นระบบเพื่อลดความเสี่ยงเหตุอัคคีภัย พร้อมแนะนำผู้ดูแลอาคารปฏิบัติตามกฎหมายเคร่งครัด เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความมั่นใจให้กับผู้อยู่อาศัยในอาคาร ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและกรมทรัพยากรธรณี ระบุว่าสถิติปี 2531-2552ประเทศไทยได้รับความเสียหายจากอัคคีภัยกว่า 28,000 ล้านบาท
นายชาญ ศิริรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารทรัพยากรอาคาร บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (Mr. Chan Sirirat, Assistant Managing Director, Plus Property Company Limited) ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่าปัจจุบันอยู่ในช่วงที่กำลังจะเข้าสู่ฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่มักเกิดอัคคีภัยขึ้นได้ง่ายเพราะสภาพอากาศมีความร้อนสูงขึ้นและมีการใช้พลังงานไฟฟ้าสูง อัคคีภัยถือเป็นวิกฤตการณ์ที่ส่งผลเสียหายค่อนข้างมากโดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นกับอาคารสูง ไม่เพียงก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อม แต่หากเพลิงไหม้ลุกลาม แพร่กระจายไปยังอาคารข้างเคียงก็จะมีความเสียหายเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น การมีระบบป้องกันอัคคีภัยและการดูแลรักษาที่ถูกต้องเป็นประจำ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยควบคุม และระงับเหตุเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ได้อย่างรวดเร็วเพื่อลดและบรรเทาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ได้ทำการสำรวจ พบว่าในเขตกรุงเทพมหานครมีอาคารสูงเกิน 7 ชั้น จำนวนมากกว่า 3,000อาคาร โดยในจำนวนนี้มีอาคารใหม่อายุต่ำกว่า 10 ปี คิดเป็น 33.33% ในขณะที่อาคารส่วนใหญ่ในกรุงเทพมหานคร มีอายุราว 20 ปี ซึ่งหากอาคารใดสร้างก่อน กฎหมายควบคุมอาคารสูง 2535 ก็จะมีอุปกรณ์ระบบป้องกันและระงับอัคคีภัยน้อยกว่าอาคารที่ก่อสร้างหลังกฎหมายควบคุมอาคารปี 2535 ดังนั้นอาคารเหล่านี้ต้องได้รับการดูแลบริหารจัดการอาคารอย่างถูกต้องและเหมาะสมเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่างๆ รวมถึงการปรับปรุงเพิ่มเติมระบบป้องกันการเกิดเหตุอัคคีภัยเป็นต้น
สำหรับการเกิดอัคคีภัยนั้นโดยมากเกิดจากการขาดความระมัดระวังและคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับเรา มีสาเหตุหลักๆ เช่น การจุดธูปเทียนในอาคาร การใช้แก๊สขณะปรุงอาหาร และไฟฟ้าลัดวงจร ส่วนการลอบวางเพลิงพบได้ไม่บ่อยนัก และจากข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและกรมทรัพยากรธรณี ระบุว่าสถิติปี2531-2552 ประเทศไทยเกิดอัคคีภัยราว 47,000 ครั้ง ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 3,700 คน เสียชีวิตกว่า 1,600 คน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 28,000 ล้านบาท
อาคารขนาดใหญ่ในปัจจุบันมีกฎหมายบังคับให้ออกแบบและวางระบบป้องกัน แจ้งเตือนดับเพลิงได้ดีในระดับหนึ่ง แต่เหตุที่บางอาคารเกิดเหตุและไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ทัน เนื่องจากไม่มีการตรวจสอบหรือดูแลระบบแจ้งเตือนเหตุเพลิงไหม้ (Fire Alarm) และระบบระงับเหตุเพลิงไหม้ (Sprinkler) อย่างสม่ำเสมอ ทำให้เกิดความบกพร่องไม่ว่าจะเป็นระบบการแจ้งเตือนเหตุ ระบบสัญญาณเตือนภัยและท่อน้ำดับเพลิง เป็นต้น ผู้ดูแลระบบเป็นอีกส่วนที่สำคัญ ที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบและดูแลบำรุงรักษาให้ระบบมีความพร้อมต่อการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพรวมถึงการมีแผนการอพยพหนีไฟและการฝึกซ้อมเป็นประจำ
นอกจากนี้ การส่งต่อข้อมูลอาคารเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการใช้งานอาคาร เช่นการกั้นผนังอาคาร แต่จะต้องแจ้งข้อมูลแก่ผู้ออกแบบอาคาร เพื่อให้ระบบป้องกันอัคคีภัยที่ออกแบบไว้สำหรับรูปแบบอาคารเดิมได้รับการเปลี่ยนแปลงและสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพดังเดิม เช่น หัวจ่ายน้ำสปริงเกอร์ที่ถูกติดตั้งไว้ในตำแหน่งเดิม แต่เมื่อมีการกั้นผนังอาคารเพิ่ม แต่ไม่มีการปรับปรุงหัวจ่ายน้ำสปริงเกอร์ให้สอดคล้องกับสภาพภายในที่เปลี่ยนไป เมื่อเกิดเพลิงไหม้ก็จะทำให้ระบบป้องกันอัคคีภัยทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ
"พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2543 กำหนดให้อาคารชุดพักอาศัย หรืออาคารที่อยู่อาศัยรวมที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 2,000ตร.ม.ขึ้นไป จะต้องมีการตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรง อุปกรณ์และระบบบริหารจัดการความปลอดภัยของอาคาร เป็นปกติปีละ 1 ครั้ง และตรวจสอบใหญ่ทุก 5 ปี โดยต้องได้รับการตรวจสอบจากผู้ตรวจสอบที่ได้รับใบอนุญาตเท่านั้น อย่างไรก็ดีปัจจุบันข้อกำหนดนี้ได้รับการยกเว้นการตรวจสอบสำหรับอาคารชุดพักอาศัยที่มีพื้นที่ไม่เกิน5,000 ตร.ม. เป็นเวลา 7 ปี และอาคารชุดพักอาศัยที่มีพื้นที่เกิน 5,000 ตร.ม. เป็นเวลา 5 ปี นับตั้งแต่กฎกระทรวงเริ่มบังคับใช้ในปี 2548 ซึ่งหากผู้ดูแลอาคารปฏิบัติตามกฎหมาย ก็จะส่งผลให้ผู้พักอาศัยจะมีความมั่นใจในการพักอาศัยมากขึ้น" นายชาญ กล่าว