กรุงเทพฯ--11 ก.พ.--Thyme D Plus
"GPSC" เผยผลการดำเนินงานปี 58 เติบโตต่อเนื่อง สร้างรายได้ 22,444 ล้านบาท ทำกำไร 1,906 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20.6% จากประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ทุ่ม 1,423 ล้านจ่ายปันผลผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.95 บาท ต่อหุ้น พร้อมชูแผนปี 2559 เดินหน้าพัฒนาธุรกิจไฟฟ้าในประเทศ พร้อมมองหาโอกาสลงทุนในต่างประเทศ ทั้งในอาเซียน และนอกอาเซียน
ดร.เติมชัย บุนนาค กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSCแกนนำในการดำเนินธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภคของกลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า ผลการดำเนินของปี 2558 บริษัทมีรายได้รวม 22,444 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 1,906 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 20.6 ซึ่งเป็นผลจากที่บริษัทฯ สามารถขายไฟฟ้าเข้าระบบได้เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ทั้งจากโรงไฟฟ้าใหม่ที่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ในไตรมาส 4 / 2558 รวมถึงระยะเวลาแผนซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าที่ใช้เวลาน้อยกว่าแผน อีกทั้งบริษัทยังได้รับเงินปันผลจากการเข้าไปถือหุ้นในโรงไฟฟ้าอื่นๆ และได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ในปี 2558 เป็นปีที่บริษัทฯ มีประสิทธิภาพทั้งในแง่การบริหารจัดการ โดยเฉพาะโครงการหยุดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าศรีราชา สามารถใช้เวลาในการซ่อมบำรุงน้อยกว่าแผนที่วางไว้ ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้น และค่าซ่อมบำรุงลดลง และบริษัทสามารถเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ ของบริษัท ไออาร์พีซี คลีนพาวเวอร์ จำกัด(IRPC-CP) ซึ่งเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ระยะที่ 1 ในไตรมาสที่ 4 ปี 2558 โดยเป็นการผลิตไฟฟ้า 45 เมกะวัตต์ และไอน้ำ 170 ตันต่อชั่วโมง และ ยังได้รับเงินปันผลจาก บริษัทราชบุรี เพาเวอร์ จำกัด (RPCL) ที่ได้เข้าถือหุ้นในสัดส่วนร้อย 15 รวมทั้งยังได้รับส่วนแบ่งจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้น จากบริษัทฯ ร่วม และการร่วมค้า เนื่องจากผลการดำเนินงานที่มีการปรับตัวดีขึ้น
ส่วนกำไรสุทธิของบริษัทฯ ในไตรมาส 4/2558 มีทั้งสิ้น 335 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2558 ปรับตัวลดลง 231 ล้านบาท ที่มีกำไรสุทธิที่ 566 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากไตรมาส 3/2558 มีการรับรู้ เงินปันผลจาก RPCL จำนวน 288 ล้านบาท ทั้งนี้เมื่อพิจารณาในส่วนของการดำเนินงานจริง โดยไม่รวมเงินปันผล จะเห็นได้ว่ากำไรสุทธิจากการดำเนินงานปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 20.5 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2558
ดร. เติมชัย กล่าวต่อว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ในวันนี้ 11 กุมภาพันธ์ 2559 ได้มีมติให้เสนอจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทฯ ย่อย ปี 2558 หลังจากมีการจัดสรรเงินทุนสำรองตามกฎหมาย ในอัตราหุ้นละ 0.95 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,423,385,760 บาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 75 ของกำไรสุทธิ โดยแบ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี2558 (ม.ค.- มิ.ย. 2558) ในอัตราหุ้นละ 0.35 บาท รวมเป็นเงิน 524,405,280 บาท ซึ่งจ่ายเมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2558 แล้ว ส่วนเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งหลังของปี 2558 (ก.ค.– ธ.ค. 2558) จะจ่ายในอัตราหุ้นละ 0.60 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 898,980,480 บาท โดยจะจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดสิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อสิทธิในการรับเงินปันผล วันที่ 26 ก.พ. 2559 และกำหนดจ่ายในวันที่ 12 เม.ย. 2559โดยจะจ่ายเมื่อได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2559 แล้ว ซึ่งเงินปันผลประจำปี 2558 ดังกล่าว ถือว่าอยู่ในระดับเดียวกับอุตสาหกรรม และผลตอบแทนมีความยั่งยืนจากความมั่นคงในธุรกิจ อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังมองหาโอกาสในการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และนักลงทุนสามารถได้รับผลตอบแทนจากผลประกอบการที่ดีเพิ่มมากขึ้น
สำหรับแผนการดำเนินการในปี 2559 บริษัทฯ ยังมีความเชื่อมั่นว่าการดำเนินธุรกิจยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทฯ มีแผนการขายไฟฟ้าเข้าระบบของ บริษัท ผลิตไฟฟ้า นวนคร จำกัด (NNEG) ที่คาดว่าจะเริ่มขายไฟฟ้าเข้าระบบได้ในเดือนมิถุนายน ปีนี้ รวมทั้งบริษัทฯ จะรับรู้รายได้จากโครงการ IRPC-CP ระยะที่ 1 เต็มปี หลังจากที่เริ่มขายไฟฟ้าเข้าระบบได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 2558 นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีโครงการโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก จำนวน 579 เมกะวัตต์ โดยคิดเป็นอัตราการเติบโตตามกำลังการผลิตเฉลี่ยร้อยละ 9.4 ไปจนถึงปี 2562
ส่วนโครงการในต่างประเทศ บริษัทฯ ยังคงดำเนินการต่อเนื่องทั้งในกลุ่มอาเซียนและนอกกลุ่มอาเซียน โดยมีพื้นที่เป้าหมายทั้งใน ลาว เมียนมา อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น ซึ่งบริษัทฯ มีความพร้อมที่จะขยายการลงทุน โดยยึดหลักเป้าหมายการลงทุนจะต้องเป็นโครงการที่มีประสิทธิภาพและต้องมีผลตอบแทนการลงทุนในระดับที่ดีซึ่งฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ยังมีความแข็งแกร่ง และมีขีดความสามารถในการลงทุน โดยบริษัทฯ มีเงินที่ได้จากการระดมทุนในการขาย IPO ราว 10,000 ล้านบาท และสามารถจัดหาจากสถาบันการเงินได้อีก 8,000 ล้านบาท ขณะที่หนี้สินต่อทุนของบริษัทยังอยู่ในระดับต่ำที่ 0.10 เท่า