กรุงเทพฯ--12 ก.พ.--IR network
บมจ.ลีซ อิท (LIT) ผลงานปี"58 แซ่บเวอร์ กวาดรายได้กว่า 190.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% กำไรสุทธิ 70.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.35% เทียบปีก่อน "สมพล เอกธีรจิตต์"พอใจทุกอย่างทะลุเป้า รายได้-กำไร ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มั่นใจปี"59 ทำนิวไฮต่อเนื่อง หลังขยายฐานลูกค้า เจาะตลาดเอสเอ็มอี ที่มีความต้องการสินเชื่อมากขึ้น ตั้งเป้าปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 30% รับเศรษฐกิจซบ จำเป็นต้อง "ตั้งการ์ดสูง" สกรีนลูกค้า ป้องกันปัญหาเอ็นพีแอล
นายสมพล เอกธีรจิตต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีซ อิท จำกัด (มหาชน) (LIT) ผู้ให้บริการธุรกิจสินเชื่อทางการเงินลูกค้า SMEs แบบครบวงจร เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/58 มีรายได้รวม 51.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.17 ล้านบาท หรือ 42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 19.83ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.38 ล้านบาท หรือ 47% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับผลการดำเนินงานโดยรวมของปี 2558 มีรายได้รวม 190.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62.84 ล้านบาท หรือ 49%เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2557 ซึ่งมีรายได้รวม 128.07 ล้านบาท และในปี 2558 มีกำไรสุทธิ70.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.64 ล้านบาท หรือ 47% เมื่อเทียบกับปี 2557 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 47.81 ล้านบาท โดยปัจจุบันมีพอร์ตสินเชื่อคงค้างประมาณ1,120 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 1,150 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 4/2558 มีการเร่งจ่ายชำระหนี้ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง
"ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2558 เติบโตอย่างโดดเด่น โดยรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 49% และกำไรเพิ่มขึ้นสูงถึง 47% โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการขยายฐานลูกค้าเอสเอ็มอีที่มีความต้องการสินเชื่อมากขึ้น เนื่องจากธนาคารพาณิชย์มีการคุมเข้มปล่อยกู้ให้กับลูกค้าในกลุ่มนี้ ซึ่งถือเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจ แต่บริษัทฯก็ให้ความสำคัญกับการพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า เพื่อป้องกันปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) อย่างไรก็ตามในปี 58 นี้ บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงการแยกอายุหนี้ในลูกหนี้สัญญาเช่าทางการเงิน (Leasing) และสัญญาเช่าซื้อ(Hire Purchase) ให้มีเกณฑ์ที่สูงขึ้น โดยหากมีงวดใดงวดหนึ่งที่ค้างชำระก็จะถือว่าค้างชำระทั้งสัญญา เพื่อให้เป็นไปตามความตั้งใจของบริษัทที่ต้องการมีมาตรฐานการจัดชั้นลูกหนี้ให้รัดกุมมากขึ้น เป็นผลให้มียอดหนี้ที่เกินกำหนดชำระมากกว่า 90 วันอยู่ในระดับ 3.84% ซึ่งอยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวล เนื่องจากลูกหนี้ส่วนมากเป็นลูกหนี้ภาครัฐซึ่งมักจะจ่ายล่าช้าอยู่แล้วโดยปกติ ยิ่งเป็นหนี้ของสถานศึกษายิ่งมีความล่าช้ามาก เพราะส่วนมากมีการจ่ายชำระเพียงปีละ 2ครั้งตามการเปิดภาคเรียนเท่านั้นและยังมั่นใจว่าหนี้เหล่านี้จะไม่เป็นหนี้สูญ" นายสมพลกล่าว
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2559 นายสมพล กล่าวว่า ตั้งเป้าหมายสินเชื่อ รายได้ และกำไรเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% ทั้งในแง่ของยอดสินเชื่อคงค้างหรือ Portfolio รายได้ และกำไรสุทธิ ตามแผน 3 ปี(พ.ศ. 2557-2559) นับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดฯ
โดยในส่วนของ Product สินเชื่อ Factoring หรือการรับซื้อหนี้การค้า ในปีนี้ตั้งเป้าการเติบโต 100% อยู่ที่8,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่มียอดรับซื้อหนี้การค้า 3,880 ล้านบาท ด้วยการเร่งขยายฐานลูกค้าใหม่ เพื่อนำเสนอสินเชื่อครบวงจรให้กับลูกค้าผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยยืนจุดแข็งคือ อนุมัติเร็ว วงเงินสูง และไม่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน
ส่วน Product สินเชื่อ Bid Bond หรือสินเชื่อเพื่อออกหนังสือค้ำประกันซองประมูล สำหรับ SMEs ที่ทำงานภาครัฐและต้องการเข้าร่วมประมูลงาน ลีซ อิทตั้งเป้าหมายเติบโตถึง 100% เช่นกัน เพราะจากบรรยากาศที่ภาครัฐให้ความสำคัญแก่การประมูลให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรม โดยเปลี่ยนวิธีการประมูลมาใช้ E-Bidding แทน E-Auctionเดิม จะทำให้ผู้ประกอบการทั่วไปมีโอกาสเข้าแข่งขันราคาเพิ่มขึ้น ประกอบกับการเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนและการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐในปีนี้ จะเป็นเครื่องจักรที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วย
ขณะที่ Product สินเชื่อ Project Backup Financing คาดว่าจะมีส่วนแบ่งรายได้ที่ 30% ของรายได้รวมเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากโปรดักท์นี้ให้ผลตอบแทนสูงแต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน ซึ่งอาจไม่เหมาะสมที่จะไปเร่งยอดเติบโตในภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่สดใสเช่นนี้
นอกจากนี้ บริษัทฯยังเร่งตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญให้ไปที่ระดับเป้าหมาย 3% ของยอดสินเชื่อคงค้าง "ภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวมากนักในปีนี้ ทำให้เราจำเป็นต้องตั้งการ์ดสูง เพื่อป้องกันความเสี่ยง เพราะการรับซื้อหนี้การค้ามีจุดอ่อน 2 จุด ที่ต้องระมัดระวังคือ บิลปลอม และการแอบไปเก็บเงินของลูกค้า ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา เราได้มีการปรับรูปแบบการทำงาน เพื่อป้องกันความเสี่ยงในจุดนี้ได้เป็นอย่างดี"นายสมพลกล่าวในที่สุด
ทั้งนี้ บริษัทฯเตรียมเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดไม่ต่ำกว่า 50% จากผลการดำเนินงานในปี 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งทำยอดกำไรสูงสุดนับตั้งแต่จัดตั้งบริษัทมา 9 ปี