(ต่อ 2) บัวนา วิสต้า อินเตอร์เนชั่นแนล ภูมิใจเสนอภาพยนตร์แอนิเมชั่นคลาสสิคตลอดกาลของวอลท์ ดิสนีย์พิค "Beauty and the Beast "

ข่าวทั่วไป Friday December 7, 2001 14:54 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--7 ธ.ค.--บัวนา วิสต้า อินเตอร์เนชั่นแนล
BEAUTY AND THE BEAST : หนึ่งทศวรรษให้หลัง
นับเป็นเวลาหนึ่งทศวรรษแล้วนับตั้งแต่แอนิเมชั่นดิสนีย์เรื่อง Beauty and the Beast ออกฉายสะกดหัวใจคนดูเป็นครั้งแรก ซึ่งแน่นอนเหลือเกินว่า สำหรับทีมผู้สร้างและผู้ให้เสียงพากย์ที่มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ผลงานคลาสสิคชิ้นนี้แล้ว มันย่อมเป็นประสบการณ์ที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำตลอดกาล
ผู้อำนวยการสร้าง ดอน ฮาห์น ตั้งข้อสังเกตว่า "Beauty and the Beast เป็นหนึ่งในหนังที่ชั่วชีวิตนี้จะเกิดขึ้นก็เพียงครั้งเดียว ผมเชื่อว่านี่เป็นหนังรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างกันมา และในช่วงที่เราสร้างมันนั้น เราก็รู้สึกด้วยว่ามันจะเป็นเทพนิยายยอดนิยมเรื่องสุดท้าย นอกจากนั้น มันยังเป็นโอกาสที่เราได้ศิลปินและนักเล่าเรื่องผู้ยิ่งใหญ่อย่าง โฮเวิร์ด แอชแมน และ อลัน เมนเคน มาร่วมงานกัน เมื่อมองย้อนไปสู่ช่วงเวลานั้น ผมจึงเชื่ออย่างสุดใจว่า เราได้ทำสิ่งที่เยี่ยมยอดที่สุดในช่วงเวลา 2 ปีแห่งการทำงานนั้น มันเป็นหนังที่พิเศษจริงๆ"
ผู้กำกับ เคิร์ค ไวส์ กล่าวเสริมว่า "ผมคิดว่า Beauty and the Beast พิเศษมากเพราะมีส่วนผสมอันมหัศจรรย์ของอารมณ์ขัน ดนตรี และศิลปะซึ่งหลอมรวมกันในหนังที่เหมาะและในช่วงเวลาที่ใช่เลย ตอนที่เราทำงานชิ้นนี้กันนั้น เราต่างก็รู้ว่ามันออกจะพิเศษแต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นงานคลาสสิคอย่างนี้ การได้ร่วมงานกับโฮเวิร์ดและอลันเป็นประสบการณ์น่าทึ่งมาก พวกเขาเก่งกาจจนแม้ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครเขียนเพลงซึ่งไม่เพียงช่วยให้เรื่องคืบหน้าแต่ยังสร้างแง่มุมด้านลึกแก่ตัวละครได้ดีเท่านี้อีก เราจะไม่รู้สึกเลยว่าหนังถูกบังคับให้ต้องหยุดชะงักเพียงเพื่อจะยัดเยียดเพลงลงไป แต่เพลงของเรมลื่นไหลกลมกลืนเข้าสู่เรื่องราวอย่างเป็นธรรมชาติ"
"เนื้อเพลงที่ฉลาดแหลมคมของโฮเวิร์ดนั้นฟังสนุกเสมอ" ผู้กำกับ แกรี่ ทรูสเดล เสริมบ้าง "และยังทำให้ทีมของเราเริ่มต้นงานได้ง่ายขึ้นด้วย ความท้าทายหลักของเราก็คือ ต้องทำแอนิเมชั่นให้ดีคู่ควรกับความฉลาดของเนื้อเพลงให้ได้"
ในความคิดของ อลัน เมนเคน นั้น "Beauty and the Beast' เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในชีวิตของผม อะไรก็ตามที่สามารถดึงดูดใจผู้คนได้มากและนานขนาดนั้นในท่ามกลางโลกที่แปรเปลี่ยนตลอดเวลาเช่นนี้ย่อมต้องเป็นสิ่งที่พิเศษอย่างที่สุด มันกลายเป็นส่วนที่ฝังลึกในชีวิตของผมด้วยหลายเหตุผล ทำให้ผมมีโอกาสได้ร่วมงานกับคนเก่งๆมากมายทั้งนักแสดง, แอนิเมเตอร์, คนออกแบบท่าทางตัวละคร, ฯลฯ และยังนับเป็นการเดินทางอันน่าอัศจรรย์ด้วย หนังเรื่องนี้ช่วยยกระดับความลุ่มลึกของแอนิเมชั่นเพลงอย่างมาก ผมยังจำได้ว่า เมื่อครั้งที่โฮเวิร์ดกับผมเล่นเพลง 'Belle' กับ 'Be Our Guest' ให้ทีมคนทำหนังฟังเป็นครั้งแรกนั้น เราถึงกับตัวสั่นด้วยความไม่แน่ใจว่าเราจะถูกหัวเราะแล้วไล่ออกจากโปรเจ็คต์นี้หรือเปล่า"
"ปฏิกิริยาของผมหลังดูหนังเรื่องนี้ตั้งแต่รอบแรกและทุกรอบหลังจากนั้นเป็นต้นมาก็คือ คิดถึงโฮเวิร์ด โดยเฉพาะในตอนจบที่เราเขียนคำอุทิศแก่เขา เขาทำงานชิ้นนี้หนักมากและเสียชีวิตก่อนหนังจะเสร็จสิ้นเพียง 6 เดือนโดยไม่มีโอกาสได้เห็นว่าหนังไปได้ดีขนาดไหน ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้ Beauty กลายเป็นโปรเจ็คต์ที่ทั้งผมและทุกคนที่รัก โฮเวิร์ด แอชแมน มีความรู้สึกด้วยเป็นพิเศษ เขาเป็นคนเก่งอย่างหาตัวจับยากจริงๆในการสร้างตัวละครให้มีพร้อมทั้งอารมณ์ขันและความลึกซึ้ง ตัวอย่างเช่น แกสต็อง ที่เขาช่วยสร้างมุมมองแจ่มชัดให้แก่ตัวละครตัวนี้ซึ่งทำให้เราสามารถขำขันกับการกระทำของเขาได้ในเวลาเดียวกับที่เขาทำหน้าที่ตัวร้ายของเรื่อง โฮเวิร์ดทุ่มเทให้กับหนังเรื่องนี้มาก ตอนที่เราบันทึกเสียงเพลง 'Human Again' เมื่อ 2-3 ปีก่อน ผมรู้สึกชัดเจนมากเลยว่า จิตวิญญาณของเขายังคงอยู่ร่วมกับเราในสตูดิโอนั้น"
ร็อบบี้ เบนสัน นักแสดงมากฝีมือผู้ให้เสียงอสูรกล่าวว่า "ตอนที่ผมได้ยินว่าจะมีการนำหนังเรื่องนี้กลับมาฉายใหม่นั้น ผมตื่นเต้นสุดๆ ด้วยเหตุผลแรกเลยคือ ผมจะมีโอกาสได้กลับมาร่วมงานกับนักแสดงเก่งๆที่กลายมาเป็นเพื่อนสนิทของผมอีกครั้ง และไอเดียที่จะนำหนังมาฉายบนจอยักษ์ก็น่าตื่นเต้นมาก ผมรักการได้พากย์เสียงอสูรเพราะเขาเป็นตัวละครที่มีความรู้สึกหลากหลาย วิญญาณของเขาทุกข์ทรมานและเขาก็ไม่ใช่แค่ตัวละครประเภทเจ้าชายหนุ่มน้อยจอมละโมบที่กลายเป็นสัตว์ประหลาดยักษ์ช่างโวยวายเท่านั้น เขาอยากทำสิ่งที่ถูกต้องและเฝ้าแต่โกรธเกรี้ยวตัวเองอยู่เสมอ การได้กลับมาพากย์เสียงใหม่ครั้งนี้เป็นเรื่องเยี่ยมมากสำหรับผม ลูกสาวผมซึ่งอายุ 15 แล้วได้เห็นทุกอย่างตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ลูกชาย 5 ขวบของผมก็เข้าใจปรากฏการณ์นี้เช่นเดียวกัน"
เจอร์รี่ ออร์บาช ผู้พากย์เสียงลูมีแอร์กล่าวว่า "ก็เหมือนกับ จิมินี่ คริคเก็ต นั่นแหละครับ ลูมีแอร์เป็นตัวละครที่ไม่ยอมแก่ ไม่ยอมล้าสมัยและก็น่าสนุกเสมอที่จะได้เกี่ยวข้องด้วย ตอนที่ผมได้เห็นความยิ่งใหญ่ของหนัง เห็นแอนิเมชั่นและเห็นงานสร้างทั้งหมดนั้น ผมนึกไปถึงงานคลาสสิคของดิสนีย์อย่าง Pinocchio และ Cinderella ทันที ผมคิดว่าเหตุผลที่ผู้คนรัก Beauty and the Beast มากก็เพราะการที่หนังบอกเราว่า ไม่ว่าใครล้วนสามารถพบรักแท้ได้ ไม่เว้นแม้แต่สิ่งมีชีวิตที่อัปลักษณ์ที่สุดในโลก นี่คือข้อคิดอันแสนงดงามที่ผมเชื่อว่าทำให้ผู้คนบังเกิดความหวัง หนังมีพลังล้นเหลือในสิ่งนั้น"
เดวิด อ๊อกเดน สเตียร์ส เจ้าของเสียงค็อกส์เวิร์ธเสริมว่า "นี่คืองานคลาสสิคของดิสนีย์ ตอนที่เราเริ่มทำหนังเรื่องนี้กันเมื่อ 10 ปีก่อน พวกเราล้วนทุ่มเทให้กับมันแบบไม่เคยถอดใจ ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ผลงานออกมาเยี่ยมยอดก็คือ การที่เพลงถูกสอดประสานลงสู่เรื่องราวได้อย่างแนบเนียนและสามารถสะท้อนตัวละครพร้อมๆกับที่ผลักเรื่องราวให้คืบหน้าไปซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก การเติมเพลง 'Human Again' กลับลงไปในหนังให้ความรู้สึกว่ามันได้เดินกลับมาสู่วงจรที่สมบูรณ์ และเพลงก็ได้อยู่ในที่ที่ควรจะอยู่แล้ว"
สำหรับ เกลน คีน แอนิเมเตอร์ชื่อดังผู้รับหน้าที่ออกแบบและวาดตัวอสูรนั้น การนำหนังเรื่องนี้กลับมาฉายอีกครั้งถือเป็นการเฉลิมฉลองอย่างแท้จริง "เมื่อมองย้อนกลับไปยังตัวหนังและตัวละครของผม ผมจะรู้สึกได้ถึงความจริงใจบางอย่างในนั้น" คีนกล่าว "ผมมุ่งมั่นมากที่จะทำให้ตัวละครสมจริงและบริสุทธิ์ที่สุด อสูรเป็นตัวละครที่โดดเด่นและยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราคิด ผมไม่เคยคาดหวังถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับคนอื่นๆ ผมเพียงเชื่อว่าตัวละครตัวนี้เป็นจริงสำหรับผมและผมก็พยายามวาดเขาขึ้นมา แต่หลังจากนั้นผมก็ได้รับจดหมายมากมายจากเด็กและผู้ใหญ่ที่ถูกทำร้ายและเกิดความผูกพันเข้าถึงตัวละครตัวนี้จริงๆ
"ตอนวาดตัวละครตัวนี้ผมเกิดความรู้สึกแปลกมาก" คีนกล่าวต่อ "ในช่วงที่เราศึกษาและค้นหาว่าตัวละครของเราเป็นอย่างไรนั้น ผมจะรู้สึกอย่างนี้เสมอในทุกตัวละครตั้งแต่อสูรจนถึงแอเรียลและทาร์ซานที่จู่ๆก็จะมีความคิดหนึ่งแว่บเข้ามาโดยที่เรารู้เลยว่ามันใช่! จากนั้นเราก็จะพยายามวาดตัวละตรตัวนั้นจากอีกมุมหนึ่งแล้วมันก็จากเราไป สำหรับผม...การวาดอสูรก็เป็นแบบนั้นแหละ ผมเป็นผู้เปิดประตูกรงและปลดปล่อยเขาออกมา แล้วเขาก็ไม่ใช่สมบัติของผมอีกต่อไปผมไม่ได้วาดเขา ผมเพียงแค่ปล่อยเขาออกมาเท่านั้นเอง"
แอนเดรียส์ เดจา อีกหนึ่งแอนิเมเตอร์คนดังของดิสนีย์ซึ่งรับผิดชอบตัวละครแกสต็อง เล่าบ้างว่า "หนังเรื่องนี้คงเป็นหนึ่งในเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับเรา เพราะทุกอย่างมันลงตัวเข้ากันได้ไปหมดแบบเดียวกับ Cinderella ซึ่งก็เป็นเรื่องโปรดของผมเหมือนกัน Beauty and the Beast มีความรู้สึกจริงแท้บางอย่างที่สะท้อนผ่านทุกตัวละคร มีการผสมผสานที่เหมาะเจาะลงตัวอย่างที่สุดระหว่างดราม่ากับอารมณ์ขัน ในตอนแรกๆผมค่อนข้างสับสนกับตัวแกสต็องเพราะเขาไม่ใช่ตัวร้ายตามสูตรที่เราคุ้นเคย เขาเป็นคนเลวที่ดูเหมือนดี เป็นตัวละครที่เปลี่ยนจากคนรูปหล่อน่าสนใจและมีอารมณ์ขันไปเป็นตัวตลกแล้วก็เป็นผู้นำการจลาจลในที่สุด พัฒนาการสุดขั้วอย่างนี้แหละที่ทำให้ผมทำงานสนุกมาก การที่ตัวละครมีความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องดีเสมอซึ่งแกสต็องก็เป็นแบบนั้น"
ก้าว "ใหญ่ยักษ์" สำหรับแอนิเมชั่น : เตรียม Beauty ให้พร้อมแก่การโคลสอัพ
การสร้างเวอร์ชั่นใหญ่ยักษ์แก่ Beauty and the Beast เป็นภารกิจที่ต้องใช้ทั้งเวลา, กำลังคน และความทุ่มเทจากทีมเทคนิคของดิสนีย์อย่างเหลือคณานับ หนังเรื่องนี้นับเป็นเพียงเรื่องที่ 2 เท่านั้นของดิสนีย์ที่สร้างขึ้นในระบบดิจิตอล โดยใช้ระบบ CAPS (Computer Aided Production System) ของทางสตูดิโอซึ่งเคยได้รับรางวัลออสการ์มาแล้วเข้าช่วยให้ภารกิจนี้เป็นจริงขึ้นมาได้ CAPS เปิดโอกาสให้สามารถนำอาร์ตเวิร์ควาดมือของแอนิเมเตอร์มาแปลงเป็นดิจิตอลในคอมพิวเตอร์เพื่อเชื่อมโยง วาด และประกอบเข้ากับแบ๊คกราวด์และเอฟเฟ็คต์ต่างๆด้วยอิเล็กทรอนิกส์ Beauty and the Beast ฉบับเดิมซึ่งเก็บไว้ในเทปดิจิตอล 8 มม. จะถูกถ่ายโอนและบันทึกไว้ใน CD-ROM 9,000 แผ่น โดยแผนกกล้องของดิสนีย์จะใช้กล้องและเครื่องบันทึกฟิล์มมาสร้างพรินต์ใหม่สำหรับการฉายขึ้นจอใหญ่โดยเฉพาะ
ทีมผู้สร้างหนังไม่ได้ใช้วิธีง่ายๆอย่างการขยายฟิล์ม 35 มม.ที่มีอยู่ขึ้นเป็นฉบับจอใหญ่ แต่เลือกจะสร้างฉบับใหม่ขึ้นเลยจากข้อมูลดิจิตอลเดิม ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้ได้ภาพกระจ่างชัดมาก โดยในขั้นตอนของการเปลี่ยนรูปแบบทีละเฟรมนี้ ทีมงานต้องกำจัดร่องรอยสกปรกและความบกพร่องต่างๆในต้นฉบับ รวมทั้งแก้ไขภาพที่ไม่น่าดูหรือไม่เหมาะสมสำหรับการฉายจากความสูงเท่าอาคาร 7 ชั้นออก เนื่องจากจอยักษ์โดยทั่วไปจะใหญ่กว่าจอ 35 มม.ปกติ 8-10 เท่า
ฮาห์นบอกว่า "เหตุผลเดียวที่เราสามารถทำเวอร์ชั่นจอใหญ่ของหนังเรื่องนี้ได้ก็คือ เราเก็บต้นฉบับไว้ในแบบดิจิตอล ไม่ใช่แค่ฟิล์มเนกาทีฟเล็กๆทั่วไป เราจึงสามารถทำพรินต์ใหม่สำหรับจอยักษ์ได้สำเร็จ"
"รูปแบบจอใหญ่ทำให้เราได้ดูหนังเรื่องนี้ในแบบใหม่ๆ" รอย เอ็ดเวิร์ด ดิสนีย์ กล่าว "การเก็บต้นฉบับไว้ในระบบดิจิตอลทำให้สามารถนำมาสร้างใหม่สำหรับจอใหญ่ได้ ตาของเราจะมีอิสระเต็มที่ในการจ้องมองไปรอบๆบริเวณที่เราอยู่ และรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในมุมหนึ่งของบรรยากาศจริงๆ จนถึงขั้นที่อาจจะเห็นกระรอกตัวเล็กๆกำลังทำอะไรอยู่ข้างล่างโดยที่คุณไม่เคยคิดจะมองมันมาก่อนเลยเมื่อครั้งดูในจอเล็ก"
ผู้รับหน้าที่ดูแลการสร้างพรินต์จอใหญ่ครั้งนี้ คือ ผู้กำกับศิลป์ เดฟ บอสเสิร์ต กับ โจ จียูเลียโน ผู้กำกับจากแผนกกล้อง จียูเลียโนกับทีมทำการพรินต์ฟิล์มสำหรับฉายบนจอใหญ่ 3 รูปแบบด้วยกัน คือ สำหรับจอ IMAX (15 รูหนามเตยต่อความกว้างของเฟรม), แบบโดมโปรเจ็คชั่น และแบบ 8 รูต่อเฟรม กล้อง 65 มม.พิเศษ 2 ตัวถูกนำมาใช้ยิงเฟรมที่เก็บในระบบดิจิตอลทีละเฟรมขึ้นเป็นหนังขนาดใหญ่ โดยติดตั้งกล้องนี้ไว้บนเครื่องบันทึกฟิล์มเพื่อสร้างเอาต์พุตสุดท้าย แต่ละเฟรมใช้เวลาในการยิงราว 2 1/2 นาที และเครื่องบันทึกต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อให้ได้ผลงานตามความต้องการของโปรเจ็คต์
ฮาห์นอธิบายว่า "การสร้างเวอร์ชั่นขนาดใหญ่ต้องใช้การปรับเปลี่ยนค่อนข้างมาก ปกติเราเก็บแต่ละเฟรมของหนังไว้ที่ความละเอียด 2,000 เส้น แต่เมื่อฉายขึ้นจอใหญ่มันจะเริ่มแตกเป็นจุด เราจึงตัดสินใจเพิ่มความละเอียดขึ้นสองเท่าเป็น 4,000 พิกเซลต่อเฟรม ซึ่งจะทำให้ความชัดของภาพสูงขึ้นมากจนไร้ที่ติเลยทีเดียว"
ฮาห์นกับผู้กำกับไวส์และทรูสเดลตรวจสอบภาพทุกเฟรมอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อพิจารณาว่า ควรต้องมีการแก้ไขซ่อมแซมในส่วนใดอีกหรือไม่ เนื่องจากการแปลงจากฟิล์ม 35 มม.ไปเป็นขนาดใหญ่นั้นย่อมส่งผลให้จุดบกพร่องต่างๆในต้นฉบับขยายใหญ่ขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นความพร่าเลือนของตัวละครในแบ๊คกราวด์, การตกแต่งฉากในส่วนห้องโถงของปราสาทที่ไม่สมบูรณ์ และรายละเอียดทั้งหลายซึ่งไม่มีใครสังเกตเห็นเมื่อครั้งฉายจอขนาดปกติจะต้องถูกนำมาแก้ไขทั้งหมด นอกจากนั้น ในจำนวนเกือบ 200 ฉากนั้นยังต้องมีการเพิ่มเติมแอนิเมชั่น, เอฟเฟ็กต์, การวาดแบ๊คกราวด์และรายละเอียดอื่นๆ โดย เอ๊ด เกิร์ตเนอร์ ผู้กำกับศิลป์และ ลิซ่า คีน ผู้ดูแลงานแบ๊คกราวด์รับหน้าที่ดูแลการแก้ไขและเพิ่มเติมเหล่านี้
สำหรับฉากเพลงที่เพิ่มเข้ามาคือ "Human Again" จะเป็นการสร้างใหม่ทั้งหมด โดยในเพลงนี้ ข้าวของเครื่องใช้จะช่วยกันทำความสะอาดปราสาทเพื่อเตรียมรับบรรยากาศโรแมนติคที่พวกเขาวาดหวังว่าจะเกิดขึ้น และหลังจากปัดกวาดเช็ดถูแล้ว ปราสาทก็จะเอี่ยมอ่องไร้ร่องรอยใดๆ
ฮาห์นอธิบายว่า "ก่อนจะลงมือเพิ่มเพลงนี้เข้าไป เรามีอยู่หลายฉากในช่วงหลังของหนังที่ปราสาทจะตกอยู่ในสภาพโกลาหล ดังนั้นเมื่อจะเพิ่มฉากตัวละครร้องเพลง 'Human Again' ก็หมายความว่าเราต้องเอาหนังส่วนที่เหลือทั้งหมดมาจัดการให้ฉากปราสาทสะอาดเอี่ยมเสียก่อน ทำให้เราต้องดึงช็อต 80-85 ช็อตออกมาและใช้ดิจิตอลตกแต่งวอลล์เปเปอร์ทั้งหมด, ซ่อมกรอบภาพที่แตกหักเสียหายอยู่ รวมทั้งต้องสำรวจหาความไม่ต่อเนื่องทั้งหลายที่อาจเกิดขึ้นจากการใส่ฉากใหม่เข้าไปด้วย"
จียูเลียโนเสริมว่า " Beauty ฉบับนี้ถือเป็นการสร้างลุคใหม่หมดสำหรับหนังเรื่องเดิม สิ่งที่คนดูจะได้เห็นก็คือพรินต์จากฟิล์มเนกาทีฟชุดใหม่ เราเริ่มต้นจากข้อมูลตัวเก่า แต่วันนี้เราสามารถสร้างฟิล์มคุณภาพดียิ่งกว่าที่เรามีเมื่อ 10 ปีก่อนหลายเท่า เราสามารถใช้ข้อได้เปรียบของรูปแบบใหม่ เทคโนโลยีใหม่และระบบการฉายใหม่ๆ เรียกว่าเราทำหนังเรื่องนี้ขึ้นใหม่อีกครั้งเลยก็ว่าได้ โลกดิจิตอลเปิดโอกาสให้เราได้รักษาขนบเดิมของดิสนีย์ไว้สำหรับคนดูในอนาคต ในขณะที่ก็นำเสนอมันในแบบใหม่เอี่ยมด้วย"
ในด้านเสียงนั้น Beauty and the Beast ฉบับจอใหญ่ทำให้ทีมเสียง (ซึ่งเข้าชิงออสการ์จากเรื่องเดิม) สามารถทำงานในขอบเขตความเป็นไปได้กว้างขึ้นมาก เทอร์รี่ พอร์เตอร์ เอนจิเนียร์บันทึกเสียงอธิบายว่า "โรงหนังจอยักษ์เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้น เพราะทำให้คนมิกซ์เสียงอย่างเราสามารถสร้างเสียงที่มีระยะความดัง-ค่อย (dynamic range) และความสมดุลของเสียงมากขึ้น เครื่องขยายเสียงและระบบลำโพงใหญ่โตจนเราทำอะไรๆได้มากกว่าตอนมิกซ์สำหรับโรงปกติ เพราะในโรงหนังทั่วไปนั้น เสียงส่วนใหญ่จะมาจากด้านหลังจอโดยผ่านลำโพงตัวกลาง ขณะที่ในโรงจอใหญ่ คนดูจะรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่ตรงกลางหนังและมีส่วนร่วมกับบรรยากาศมากขึ้น เราใช้ลำโพงเซอร์ราวด์และท็อปเพื่อสร้างเอฟเฟ็กต์นี้เต็มที่"
(ยังมีต่อ)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ