กรุงเทพฯ--15 ก.พ.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
บล.โกลเบล็กมองตลาดหุ้นไทยได้แรงซื้อดักแจ้งผลประกอบการ และประกาศจ่ายปันผลงวดปี 58 พยุงไม่ให้ลงแรง จากแรงกดดันจากความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ปัญหาหนี้กรีซส่อล้มละลาย และออกจากยูโรโซน และล่าสุดเฟดส่งสัญญาณชะลอขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมีนาคมนี้ มองกรอบดัชนี 1,270 – 1,320 จุดชู KCE-PTT-SYNEX-PS ผลงานปี59สดใส ส่วนราคาทองมีแนวโน้มขึ้นต่อ จากการกลับมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มั่นคง หลังเศรษฐกิจโลกที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัว ให้กรอบ แนวรับ 1,170-1,165 เหรียญต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,260-1,265 เหรียญต่อทรอยออนซ์
นายชัยยศ จิวางกูรผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS กล่าวว่าแนวโน้มภาวะตลาดหุ้นไทยในในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ คาดว่าจะมีแรงซื้อดักงบและปันผลปี 58 ที่จะทยอยประกาศในเดือนก.พ.ช่วยพยุงไม่ให้ดัชนีทรุดตัวแรงมากนัก จากแรงกดดันจากความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ปัญหาหนี้กรีซที่ยังไม่สามารถตกลงเงื่อนไขการขอรับเงินช่วยเหลือรอบใหม่ ซึ่งอาจทำให้กรีซล้มละลาย และออกจากยูโรโซน
ทั้งนี้ล่าสุดนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ได้ออกมากล่าวแถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเมื่อวันที่ 10 ก.พ.ได้ส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเฟดเดือนหน้า เนื่องจากปัจจัยจากสภาวะที่ตึงตัวในตลาดการเงินที่มีสาเหตุจากการดิ่งลงของราคาหุ้น, ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีน และการประเมินความเสี่ยงด้านสินเชื่อในระดับโลก อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐให้อ่อนแอลง ส่งผลให้นักลงทุนคลายความกังวลต่อทิศางดอกเบี้ยประกอบกับราคาน้ำมันที่ผันผวนสูง จาก Oversupply และกลุ่มใน-นอกโอเปกไม่สามารถตกลงมาตรการลดกำลังการผลิตน้ำมันกันได้
ดังนั้นประเมินกลยุทธ์การลงทุนซื้อดักงบและปันผลปี 2558 ที่จะทยอยประกาศในเดือนกุมภาพันธ์ นี้ ซึ่งจะเป็นตัวช่วยพยุงไม่ให้ดัชนีทรุดตัวแรงมากนัก โดยคาดว่า SET ในเดือนกุมภาพันธ์ จะแกว่งตัวผันผวนในกรอบ 1,270 – 1,320 จุด
โดยประเมินว่าหุ้นที่เด่นน่าสนใจ อันดับแรก KCE โดยฝ่ายวิจัยคาดว่าในปี 2559 จะเป็นปีที่บริษัทเติบโตอย่างมากหลังจากบริษัทจากการเปิดใช้โรงงานใหม่เฟส 2 ได้เต็มไตรมาสตั้งแต่ไตรมาส 1/2559 ที่ช่วยประหยัดต้นทุนรวมถึงอัตราการใช้งานที่เพิ่มสูงขึ้นในปี 2559 จากความต้องการสินค้าที่มากขึ้นส่งผลให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นมากเทียบกับปี 2558 โดยจะเติบโตมากในช่วงไตรมาส 3/2559 หลังจากค่าใช้จ่ายคงที่หมดลง ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยคาดว่าปีนี้บริษัทจะมีกำไรสุทธิประมาณ 2,792 ล้านบาทเติบโต 26% เทียบจากปีก่อน ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้คาดว่าปี 59 จะเป็นปีที่โดดเด่นอีกปีหนึ่งของบริษัท จึงแนะนำ "ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 91 บาท
รองลงมาหุ้น PTT ฝ่ายวิจัยคาดว่ากำไรปี 2559 จะกลับมาเติบโต 203% สู่ 66,590 ล้านบาทเนื่องจากราคาน้ำมันและราคาโอเลฟินส์เริ่มทรงตัวอีกทั้งคาดว่าจะไม่มีการบันทึกด้อยค่าในสินทรัพย์เหมือนปี 2558 นอกจากนี้สภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้มีความต้องการน้ำมันมาใช้สร้างความอบอุ่นทำให้มีโอกาสที่ราคาน้ำมันจะรีบาวด์ได้ซึ่งจะส่งผลทางบวกต่อธุรกิจโรงแยกก๊าซธรรมชาติ และธุรกิจสำรวจและผลิตของ PTTจึงแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 307 บาท
และหุ้น SYNEX ฝ่าวิจัยคาดว่าปี 2558 จะรายงานกำไรสุทธิราว 337 ล้านบาทซึ่งเติบโตกว่า 86%จากปี 2557 เนื่องจาก ปี2558 มีการจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนให้แก่แบรนด์ HUAWEI อีกทั้งยอดขายอุปกรณ์เน็ตเวิร์คเติบโตขึ้นอย่างมาก อีกทั้งมีการพัฒนาการทำงานของคลังสินค้าและการบริการให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นส่งผลให้ต้นทุนในการดำเนินงานลดลงช่วยหนุนกำไรเพิ่มเติม สำหรับปี 2559 คาดรายได้ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องราว 5-8% จากการขยายตลาดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เกี่ยวข้องไปยังภาครัฐเพิ่มขึ้นเพราะในปี 2559 ภาครัฐยังคงมีการขยายการลงทุนในโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่องจึงแนะนำ "ซื้อ" ให้ราคาเป้าหมาย 5.30 บาท
ส่วนอันดับสุดท้ายหุ้น PS ซึ่งเป็นผู้นำตลาดบ้านระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ทำไห้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากมาตรการลดภาษีกระตุ้นภาคอสังหาฯ คาดกำไรปี 2558 ราว 7.5 พันล้านบาทซึ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องจากปี 2557 ที่มีกำไร 6.65พันล้านบาท เติบโต 13% แนวโน้มกำไรยังเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 1/2559 เนื่องจากมาตรการลดภาษีกระตุ้นภาคอสังหาฯจะสิ้นสุดปลายเดือนเมษายน 2559
นอกจากนี้ยังแนะนำ Selective Buy กลุ่มที่มีปัจจัยบวกและซื้อสะสมหุ้นที่งบเติบโตขึ้น อาทิ กลุ่ม High Dividend INTUCH, ADVANC และ KTB, กลุ่ม High season การท่องเที่ยวและต้นทุนน้ำมันปรับตัวลง AOT,BAและAAV รวมทั้งกลุ่มที่คาดว่างบปี 58และไตรมาส 4/2558 เติบโตขึ้น อาทิ EPG, FSMART, KCE, TVT, BEAUTY, EA, SYNEX, SPALI, ORIและ UBIS
สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ นายสุทธิพงษ์ศรีพรประเสริฐ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่าราคาทองคำแกว่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยที่เข้ามากระทบได้แก่กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 151,000 ตำแหน่งในเดือนมกราคม จากระดับ 262,000 ตำแหน่งในเดือนธันวาคม ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง บวกกับการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ และราคาน้ำมันดิบปรับลงอย่างต่อเนื่องจากการที่ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ยังไม่มีแนวโน้มตกลงกันได้เกี่ยวกับการใช้มาตรการลดกำลังการผลิตเพื่อกระตุ้นราคาน้ำมัน
อีกทั้งIEAปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในปีนี้และระบุว่าภาวะน้ำมันล้นตลาดจะยังคงอยู่ต่อไปได้สร้างความกังวลถึงผลกระทบต่อกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันและบริษัทพลังงานทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงแรงส่งผลให้นักลงทุนย้ายเงินลงทุนออกจากตลาดหุ้นเข้ามาลงทุนในทองคำแทน
ขณะที่นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ได้ออกมากล่าวแถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเมื่อวันที่ 10 ก.พ.ได้ส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเฟดเดือนหน้า เนื่องจากปัจจัยจากสภาวะที่ตึงตัวในตลาดการเงินที่มีสาเหตุจากการดิ่งลงของราคาหุ้น, ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีน และการประเมินความเสี่ยงด้านสินเชื่อในระดับโลก อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐให้อ่อนแอลง ส่งผลให้นักลงทุนคลายความกังวลต่อทิศางดอกเบี้ย ขณะที่ถ้อยแถลงดังกล่าวทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเป็นปัจจัยบวกต่อทองคำ
ดังนั้น ประเมินแนวโน้มราคาทองคำโลกด้านเทคนิคแนวโน้มปรับขึ้นต่อ โดยราคาทองฟื้นตัวขึ้นรอบใหม่หลังพักตัวลดความร้อนแรงไม่หลุดแนวรับขาขึ้นเส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน การขึ้นมาทำจุดสูงใหม่ด้วยการต่อยอดขาขึ้นแท่งเทียนสัญญาณบวก และค่าสัญญาณทางเทคนิคที่ปรับขึ้นทำให้ราคาแนวโน้มปรับขึ้นต่อโดยให้แนวรับ 1,170-1,165เหรียญต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,260-1,265เหรียญต่อทรอยออนซ์