กรุงเทพฯ--16 ก.พ.--กกพ.
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้รายงานถึงการเตรียมความพร้อมรับมือการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจากแหล่งยาดานา ประเทศเมียนมาร์ ระหว่างวันที่ 20-23 กุมภาพันธ์ 2559 ทำให้ก๊าซธรรมชาติที่ส่งมาจากประเทศเมียนมาร์หายไปทั้งหมดประมาณ 1,100 ล้านลูกบาศก์ฟุต ส่งผลกระทบต่อโรงไฟฟ้าในฝั่งภาคตะวันตก โดยมีกำลังการผลิตที่ลดลงรวม 3,394 เมกะวัตต์ ซึ่ง กฟผ. จะทำการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าด้วยก๊าซฯ จากฝั่งตะวันออกเพิ่มขึ้นและใช้น้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลมาเดินเครื่องที่โรงไฟฟ้าราชบุรีทดแทนปริมาณก๊าซฯ ที่ลดลง โดยคาดว่าจะใช้น้ำมันเตาประมาณ 22.3 ล้านลิตร และน้ำมันดีเซลประมาณ 6.9 ล้านลิตร โดย กฟผ. ยืนยันว่าจะไม่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าและประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าในช่วงการหยุดจ่ายก๊าซฯ อย่างแน่นอน
สำหรับการประเมินผลกระทบค่าเอฟทีน้อยลงกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ในช่วงปลายปี 2558 เนื่องจาก กกพ. ได้มอบหมายให้ กฟผ. และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมกันเจรจาการเลื่อนกำหนดการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจากผู้ผลิตก๊าซฯ แหล่งยาดานาจากแผนเดิมในช่วงวันที่ 1-4 มีนาคม 2559 ซึ่งหากหยุดจ่ายก๊าซฯ ในช่วงดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าประมาณ 0.25 สตางค์ต่อหน่วย โดยเลื่อนเป็นช่วงวันที่ 20-23 กุมภาพันธ์ 2559 ซึ่งเป็นช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลงจากกำหนดเดิม เนื่องจากตรงกับช่วงวันหยุดยาว ตลอดจนราคาน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลลดลงจากที่ประมาณการไว้ค่อนข้างมาก ทำให้ผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าที่ต้องมีการเดินเครื่องด้วยน้ำมันเตาใกล้เคียงกับราคาก๊าซธรรมชาติ ส่งผลให้กรณีแหล่งก๊าซยาดานาหยุดซ่อมครั้งนี้จะมีผลกระทบต่อค่าเอฟทีที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์เดิม 0.25 สตางค์ต่อหน่วย เป็น -0.07 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่ง กกพ. จะนำค่าเอฟทีที่ลดลงจากกรณีหยุดซ่อมก๊าซฯ ไปคำนวณค่าเอฟทีที่จะเรียกเก็บในงวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2559 ให้สะท้อนตามต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงเพื่อประกาศใช้ต่อไป อย่างไรก็ตาม กกพ. ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนช่วยกันประหยัดพลังงานและลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงที่มีการหยุดจ่ายก๊าซฯ ด้วยเช่นกัน