กรุงเทพฯ--17 ก.พ.--ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์
นางศศิธร พงศธร (ฉัตรศิริวิชัยกุล) กรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH Bank) แถลงผลการดำเนินงานปี 2558 ของกลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ว่า แม้ภาวะเศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียง ร้อยละ 2.8 จากปีก่อน แต่ผลการดำเนินงานของธนาคารยังสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ผลการดำเนินงานปี 2558 บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (LHBANK) มีกำไรสุทธิ 1,652 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 37.5 และผลการดำเนินงานของธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิ1,631 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 35.5 หลักๆ มาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของสินเชื่อ รายได้ค่าธรรมเนียม และกำไรจากเงินลงทุน ตลอดจนการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวม (Cost-to-Income Ratio) ลดลงจากร้อยละ 47.0 ในปีก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ 41.5 รวมถึงการมีคุณภาพสินเชื่อที่ดี มีสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ในระดับต่ำเพียงร้อยละ 1.89 ของเงินให้สินเชื่อรวม และการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญต่อสำรองพึงกันตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ร้อยละ 180.4 เพื่อสร้างความเข้มแข็งด้านเงินสำรองและเพื่อรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจ
สินทรัพย์รวม 198,039 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 20.2 เป็นผลจากการดำเนินกลยุทธ์ที่มุ่งขยายสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพ โดยสินเชื่อ Corporate ของธนาคารมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 56 ณ สิ้นปี 2557 ขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 62 ขณะที่สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยอยู่ที่ร้อยละ 21 และสินเชื่อ SMEs อยู่ที่ร้อยละ 17 ของเงินให้สินเชื่อรวม
ธนาคารมีสาขาทั้งสิ้น 126 สาขา เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2557 จำนวน 9 สาขา แบ่งเป็นสาขาในพื้นที่กรุงเทพฯ 45 สาขา และสาขาในภูมิภาค 81 สาขา หรือคิดเป็นสัดส่วน 36% และ 64% ตามลำดับ
จากเกณฑ์การดำรงสภาพคล่องใหม่ที่เรียกว่า Liquidity Coverage Ratio (LCR) ซึ่งกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องขั้นต่ำที่ระดับ 60% ในปี 2559 และทยอยเพิ่มขึ้นปีละ 10% จนครบ 100% ในปี 2563 ซึ่งธนาคารสามารถดำรงเกณฑ์ LCR อยู่ที่ระดับเกิน 100% ตั้งแต่ปีแรก แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการบริหารสภาพคล่องที่อยู่ในระดับสูงและเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ฝากเงินและลูกค้าของธนาคารได้เป็นอย่างดี อีกทั้งธนาคารได้รับการจัดอันดับเครดิตโดยทริสเรทติ้ง ที่ระดับ A- แนวโน้มอันดับเครดิตเป็น "Stable" หรือ "คงที่" แสดงถึงสถานะของกลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
นางศศิธร กล่าวเพิ่มเติมว่า ธนาคารคาดว่าเศรษฐกิจไทย ปี 2559 ที่มาจากการลงทุนของภาครัฐจะเริ่มประคองตัวได้ จึงมีแผนปรับโฉมไอทีเพื่อรองรับการทำธุรกรรมด้วยระบบดิจิตอล การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างของลูกค้า การสร้างแบรนด์ LH Bank ให้เกิดการรับรู้ในวงกว้างผ่าน Social Media ต่างๆ เช่น LINE Facebook YouTube รวมถึงการขยายสาขาเพิ่มอีก 8 สาขา ซึ่งจะทำให้สิ้นปี 2559 ธนาคารจะมีสาขารวมทั้งสิ้น 134สาขา ที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และธนาคารยังคงร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) (HomePro) ในการขยายสาขาไปในทุกจังหวัดที่ HomePro ตั้งอยู่ รวมถึงพื้นที่ที่มีศักยภาพ เพื่อขยายฐานลูกค้า
นายธานี ผลาวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ธนาคารมีแผนปรับระบบเทคโนโลยี เพื่อรองรับการเป็นธนาคารดิจิตอล (Digital Banking) และเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการบริการให้มีศักยภาพในการแข่งขัน อาทิ
- การให้บริการแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ ที่เรียกว่า LH Bank M Choice Application ที่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้สะดวก รวดเร็ว สามารถเช็คยอดเงิน โอนเงิน เติมเงิน ชำระค่าสินค้าและบริการ ดูกองทุน รวมไปถึงการค้นหาสาขาและตู้เอทีเอ็มของธนาคาร ซึ่งสามารถใช้บริการได้ทุกวัน ทุกที่ ทุกเวลา โดยธนาคารมีแผนเปิดให้บริการประมาณเดือนพฤษภาคมนี้
- การออกบัตรเดบิตร่วมกับ UnionPay International (UPI) ด้วยเห็นว่าปัจจุบันมีฐานผู้ถือบัตรเดบิต UnionPay อยู่ทั่วโลก และมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น ธนาคารจึงมีแผนออกบัตรเดบิต LH Bank UnionPay ที่ช่วย ตอบโจทย์ในการเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า นักท่องเที่ยว นักเรียน นักศึกษา และผู้ที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ ในการเบิกถอนเงินสดหรือซื้อสินค้าจากร้านค้าต่างๆ ได้ทั่วโลก ซึ่งมีแผนเปิดให้บริการประมาณไตรมาส 2 ปี 2559
- การปรับระบบมาตรฐานความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูลทางการเงินในบัตรอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ได้แก่ บัตรATM และบัตร Debit จากเดิมเป็นบัตรที่ใช้แถบแม่เหล็ก ซึ่งมีการโจรกรรมเงินโดยการใช้เทคนิค Skimmer คัดลอกบัตรบ่อยครั้ง ธนาคารจึงปรับมาตรฐานความปลอดภัยโดยการเปลี่ยนมาเป็นบัตรแบบ "ชิปการ์ด" (Chip Card) ที่มีความปลอดภัยสูง ป้องกันการปลอมแปลงจากภัย Skimmer โดยธนาคารจะให้บริการบัตร ATM และ บัตร Debit ในรูปแบบบัตรชิปการ์ดประมาณเดือนพฤษภาคม 2559
ด้านนางจันทนา กาญจนาคม กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด หรือ LH Fund เผยตัวเลขภาพรวมธุรกิจกองทุนภายใต้การบริหารจัดการของบลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ว่ามีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 49,858 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.7 โดยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ในอันดับที่ 11 ของอุตสาหกรรม และด้วยความชำนาญในการบริหารกองทุนรวม กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ สามารถสร้างผลงานบริหารกองทุนได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกองทุนรวมหน่วยลงทุนอสังหาริมทรัพย์อย่างกองทุนเปิด แอล เอช ไทย พร็อพเพอร์ตี้ (LHTPROP) ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นและได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นจำนวนมากจนทำให้ต้องเพิ่มขนาดกองทุนและออกกองทุนที่มีลักษณะการลงทุนคล้ายคลึงกันอีก 1 กองทุน ในปีที่ผ่านมาผลตอบแทนโดยเฉลี่ยของกองทุนย้อนหลัง 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี อยู่ที่ประมาณร้อยละ 2.95 ร้อยละ 5.26 และ ร้อยละ 13.98 ตามลำดับ
ขณะที่ดัชนีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (PF&REIT) อยู่ที่ประมาณร้อยละ 1.98 ร้อยละ 0.36 และร้อยละ 5.64 ตามลำดับ
นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวเพิ่มเติมว่าใน 2559 บลจ.จะเดินหน้าขยายขนาดกองทุน โดยตั้งเป้า AUM ให้ได้ประมาณ 70,000 ล้านบาท โดยเน้นบริหารกองทุนในเชิงรุกเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี มีการกระจายความเสี่ยงการลงทุนด้วยการเพิ่มการลงทุนในต่างประเทศ เพื่อสร้างโอกาสการลงทุนพร้อมผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนภายในประเทศ โดยมีปัจจัยที่เกื้อหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในต่างประเทศและผลตอบแทนจากการลงทุนในประเทศที่กำลังมีแนวโน้มลดลง ซึ่งมีแผนออกกองทุนประเภท Feeder Fund เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ลงทุนที่ต้องการเพิ่มช่องทางการลงทุนที่หลากหลายและรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ โดยจะจับจังหวะการลงทุนที่เหมาะสมรวมทั้งคัดเลือกกองทุนต่างประเทศหรือหลักทรัพย์ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงหรือกองทุนที่มีประวัติผลการดำเนินงานที่ดีและมีความเสี่ยงในระดับที่เหมาะสม ทั้งนี้ บลจ. ยังมีความโดดเด่นในด้านการกำหนดความเสี่ยงของประเภททรัพย์สินในแต่ละกองทุนอย่างชัดเจนและให้ความสำคัญต่อการให้คำแนะนำเรื่องการกระจายความเสี่ยง ด้วยการจัดสัดส่วนการลงทุน (Asset Allocation) ให้ลูกค้าเป็นรายบุคคล
ด้านนายกานต์ อรรถธรรมสุนทร กรรมการผู้จัดการและรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH Securities) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปี 2558 มีการปรับตัวลดลงค่อนข้างมากถึง -14% จากดัชนีที่ระดับ 1,497.67 จุด ณ สิ้นปี 2557 มาปิดที่ระดับ 1,288.02 จุด ณ สิ้นปี 2558 และมูลค่าการซื้อขายค่อนข้างบางตา
ปี 2558 บริษัทมีการเติบโตของรายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์ดีพอควร โดยมีรายได้รวมทั้งสิ้น 93.9 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการทำการตลาดที่มากขึ้น จากการสร้างทีมวิทยากรแนะนำกลยุทธ์การลงทุน (Equity and TFEX Product Specialist)ที่ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก ประกอบกับความร่วมมือจากธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ในการขยายฐานไปยังลูกค้าของธนาคาร โดยมีจำนวนบัญชีลูกค้าใหม่ที่เปิดผ่านสาขากว่า 600 บัญชี และมียอดรวมบัญชีลูกค้าถึง3,400 บัญชี ณ สิ้นปี 2558 ในส่วนของธุรกิจซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า บริษัทได้รับรางวัล TFEX Top IC Awards by Company จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต่อเนื่อง 3 ไตรมาส และเจ้าหน้าที่การตลาดของบริษัทได้รับรางวัล TFEX IC Star of the Month
กลยุทธ์ปี 2559 บริษัทยังมุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้ารายใหม่ พร้อมรักษาฐานลูกค้าเดิม เสริมความแข็งแกร่งของบุคลากรทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ การขยายสาขาอีก 8 สาขา เพื่อให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น การให้บริการผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ซึ่งปัจจุบันมี Campaign "อัดแจกกันแบบไม่ยั้งกับ LHS Loyalty Program" เป็นการสะสมแต้มจากค่าธรรมเนียมการซื้อขาย ยิ่งเทรดมากยิ่งได้มาก การจัดอบรมให้ความรู้ด้านการลงทุนแก่ลูกค้า เพื่อเพิ่มโอกาสแห่งความสำเร็จในการลงทุนของลูกค้า และการพัฒนาระบบเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า ซึ่งบริษัทต้องการทำให้เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งในเกือบทุกฟังก์ชั่นของการทำงาน การทำการตลาดร่วมกับธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เพื่อให้ลูกค้าสามารถเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์และอนุพันธ์ผ่านระบบออนไลน์ LH Bank SPEEDYได้ และระบบการชำระเงินแบบ Bill Payment ซึ่งเป็นระบบการชำระเงินที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และเชื่อถือได้ เป็นต้น
นางศศิธร กล่าวเสริมว่า นอกจากกลยุทธ์การดำเนินงานให้เติบโตอย่างต่อเนื่องแล้ว กลุ่มการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ยังให้ความสำคัญต่อการพัฒนาบุคลากร โดยการพัฒนาความรู้ความสามารถของพนักงานในทุกระดับอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนยึดมั่นในการประกอบธุรกิจตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีควบคู่ไปกับการยึดมั่นในจรรยาบรรณและจริยธรรมธุรกิจ ความรับผิดชอบต่อสังคม การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น การเคารพสิทธิมนุษยชน การร่วมพัฒนาชุมชนและสังคม การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอันเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่นำมาซึ่งการที่บริษัทได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 100 บริษัทจดทะเบียน ที่มีความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากสถาบันไทยพัฒน์