กรุงเทพฯ--18 ก.พ.--IR Network
บอร์ด บมจ.เอ็น.ดี.รับเบอร์ (NDR) ไฟเขียวลงทุนโซลาร์รูฟ กำลังการผลิต 1 เมกะวัตต์ ผู้บริหารหนุ่มไฟแรง "ชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา" ระบุช่วยลดต้นค่าไฟกว่า 10% ต่อปี คาดเริ่มผลิตได้ในช่วงครึ่งปีหลัง กางแผนปี"59 ตั้งเป้ารายได้แตะ 1 พันล้านบาท จ่อเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมเดินหน้าบุกตลาดต่างประเทศเต็มสูบ โดยเฉพาะตลาดอินเดีย ซึ่งมีกำลังซื้อมหาศาล ผู้ถือหุ้นเริงร่ารับเงินปันผล 0.06 บาท/หุ้น
นายชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) (NDR) ผู้ผลิตและจำหน่ายยางนอกและยางในรถจักรยานยนต์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯมีมติอนุมัติการดำเนินโครงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ (Solar Roof) เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า กำลังการผลิต 1 เมกะวัตต์ สำหรับใช้ภายในโรงงาน พร้อมอนุมัติการขอกู้ยืมเงิน เพื่อลงทุนในโครงการดังกล่าว สูงสุดไม่เกิน 50,000,000 บาท โดยคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนได้กว่า 10% ต่อปีของต้นทุนค่าไฟฟ้า
ทั้งนี้โครงการดังกล่าวจะขอสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากทางสำนักงานคณะกรรมการการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งคาดว่าจะได้รับอนุมัติภายในครึ่งปีแรก จากนั้นจะดำเนินการติดตั้ง โดยจะใช้ระยะเวลาราว 2-3 เดือน และคาดว่าจะสามารถดำเนินการผลิตไฟฟ้าได้ในครึ่งปีหลังนี้
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.06 บาท/หุ้น สำหรับงวดผลประกอบการปี 2558โดยกำหนดให้ผู้ถือหุ้นที่จะมีชื่อปรากฏ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ในวันที่ 8 เมษายน 2559 เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผล และให้รวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2551 โดยประกาศปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 11 เมษายน 2559และกำหนดวันจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 เมษายน 2559
นายชัยสิทธิ์ กล่าวว่า บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ในปี 2559 ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท จากแผนการที่จะรุกตลาดในประเทศด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยคาดว่าจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ภายในไตรมาส 2/2559 นี้ ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ยังไม่เคยมีในตลาด นอกจากนี้ ในส่วนของตลาดต่างประเทศจะเพิ่มรายได้จากตลาดอินเดียที่มีกำลังซื้อมหาศาล โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาโมเดลรุ่นใหม่ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้
สำหรับผลประกอบการในปี 2558 บริษัทฯมีรายได้รวม 796 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 792 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิ 34 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 46 ล้านบาท
"โดยภาพรวมของปี 2558 สภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศ และต่างประเทศอยู่ในภาวะชะลอตัว จึงทาให้กำลังซื้อหดตัวลงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในประเทศไทยซึ่งเกิดสภาวะราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ จึงทำให้กำลังซื้อในประเทศหดตัวลงอย่างมาก อย่างไรก็ดีจะเห็นได้ว่ารายได้รวมของบริษัทไม่ได้ลดลง แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเกิดจากการได้ตลาดใหม่อย่างประเทศอินเดีย และการทำโปรโมชั่นเพื่อผลักดันยอดขายและรักษาส่วนแบ่งการตลาดภายในประเทศ แต่การทำโปรโมชั่นดังกล่าว รวมถึงค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดจากทรัพย์สินที่ทางบริษัทได้ลงทุนไว้ตั้งแต่ปี 2556 และแล้วเสร็จในปี 2558 ทำให้กดดันกำไรในปีก่อน" นายชัยสิทธิ์ กล่าวในที่สุด