กรุงเทพฯ--12 ก.ย.--เอเชี่ยน ฮอนด้า มอเตอร์
คงไม่มีสนามแข่งรถแห่งใดในโลกที่จะเหมาะแก่การฉลองการแข่งขันฟอร์มูล่า วัน เป็นสนามที่ 200 ของฮอนด้า ได้ดีไปกว่าสนามมอนซ่า ในประเทศอิตาลี ทั้งนี้เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สนามแข่งที่ต้องใช้ความเร็วสูงแห่งนี้ ได้เป็นสถานที่ประกาศชัยชนะหลายต่อหลายครั้งของฮอนด้า รวมทั้งเป็นสนามแข่งแห่งแรกที่ฮอนด้าได้ออกสตาร์ทในแถวหน้าเป็นครั้งแรกในฟอร์มูล่า วัน และเป็นหนึ่งในสนามแข่งที่ประกาศชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของฮอนด้าในยุโรป
มอนซ่าเป็นสนามแข่งแห่งเดียวที่ฮอนด้าได้เข้าร่วมแข่งขันกรังด์ปรีซ์ตลอดระยะเวลา 15 ฤดูกาลแข่งขันและประสบชัยชนะถึง 6 ครั้ง เท่ากับสถิติสูงสุดที่ฮอนด้าทำไว้ที่มอนติ คาร์โล
ย้อนหลังกลับไปเมื่อเดือนกันยายน 1964 ฮอนด้าลงแข่งขันฟอร์มูล่า วัน เป็นสนามที่สอง ณ สนามมอนซ่า แห่งนี้ หลังจากได้ประชันความเร็วเป็นครั้งแรกที่นูร์เบอร์กริงด้วยเครื่องยนต์ V12 ของฮอนด้า RA271 ที่ขับโดยรอนนี่ บัคนัม ซึ่งวิ่งอยู่ในตำแหน่งที่ 5 ก่อนต้องออกจากการแข่งขันกลางครัน
อีกสองปีต่อมา ฮอนด้าส่งรถแข่งคันใหม่ที่ใช้เครื่องยนต์รหัส RA273 มีกำลังสูง V12 ระบายความร้อนด้วยน้ำ ให้พลังกว่า 400 แรงม้า ขับโดยริชชี่ กินเธอร์ สู่การแข่งขัน และได้สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชมอย่างมากก่อนต้องออกจากการแข่งขันเพราะอุบัติเหตุที่เกิดจากยางแตก
ปีถัดมา ฮอนด้าหวนสู่มอนซ่าอีกครั้งด้วยรถคันใหม่ RA300 เครื่องยนต์ V12 ที่ให้พลัง 420 แรงม้า ซึ่งพัฒนาร่วมกับบริษัทผู้ผลิตรถแข่งแห่งประเทศอังกฤษนาม โลร่า และด้วยฝีมือของจอห์น เซอร์ตีส ที่เร่งเครื่องยนต์ถึง 12000 รอบต่อนาที รถของทีมฮอนด้าจึงเข้าเส้นชัยแซงหน้าคู่แข่งขันเข้ารับการโบกธงตาหมากรุกเป็นคันแรก นับเป็นแชมป์กรังด์ปรีซ์รายการที่สองของฮอนด้า หลังจากที่ริชชี่ กินเธอร์ ทำสำเร็จมาแล้วที่เม็กซิโก ในปี 1965 และครั้งนี้ นับเป็นชัยชนะบนผืนแผ่นดินยุโรปเป็นครั้งแรกของทีม
การแข่งขันที่มอนซ่าในปีต่อมา จอห์น เซอร์ตีส ก็สร้างตำนานอีกบทหนึ่ง ด้วยการทำเวลาได้ดีที่สุดในรอบคัดเลือก และได้ออกสตาร์ทในตำแหน่งหน้าสุดเป็นหนแรกในฟอร์มูล่า วันของฮอนด้า และตำแหน่งแชมป์สองปีซ้อนของเซอร์ตีสก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ก็ต้องพลาดไปอย่างน่าเสียดายหลังจากที่ต้องถูกบีบให้ออกนอกทางวิ่งเพราะการพยายามหลบรถคันหน้าที่กำลังหมุนคว้างอยู่
ฮอนด้าห่างหายไปจากการแข่งขันฟอร์มูล่าวันถึงสองทศวรรษ และเมื่อกลับมาอีกครั้ง ฮอนด้าจับมือกับทีมวิลเลียมส์ กลับมาสู่มอนซ่าในปี 1986 ด้วยเครื่องยนต์ V6 ขนาด 1.5 ลิตร ที่ให้ถึง 1050 แรงม้า และสร้างเกียรติประวัติคว้าทั้งตำแหน่งที่ 1และ 2 ได้เป็นครั้งที่สองของการแข่งขันปีนั้น ด้วยฝีมือของเนลสัน ปิเกต์ และไนเจล มานเซลล์ และอีกสองสัปดาห์ต่อมา ไนเจล มานเซลล์ ก็คว้าแชมป์ที่สนามในโปรตุเกส ทำให้ฮอนด้าได้รับตำแหน่งแชมป์โลกประเภทผู้ผลิตเป็นครั้งแรก และได้รับอีกถึง 5 ครั้งติดต่อกันในเวลา 5 ปีถัดมา
และด้วยการขยายงานพัฒนาเครื่องยนต์เพื่อส่งให้กับทั้งทีมวิลเลียมส์และโลตัสในปี 1987 นักแข่งของฮอนด้าก็ผงาดขึ้นยืนแป้นอันดับ 1 ถึง 3 บนแท่นรับรางวัลในสนามมอนซ่า โดยฝีมือของเนลสัน ปิเกต์อีกครั้ง ตามมาด้วยไอร์ตัน เซนน่า ดาวรุ่งจากทีมโลตัส ซึ่งชิงอันดับสองมาจากนักแข่งอีกคนในทีมวิลเลียมส์คือไนเจล มานเซลล์ไปได้
ในปี 1989 ด้วยเครื่องยนต์รุ่นใหม่ขนาด 3.5 ลิตร ที่นำมาแทนเครื่องเทอร์โบชาร์จ ฮอนด้าก็มีโอกาสได้เฉลิมฉลองชัยชนะร่วมกับพันธมิตรใหม่คือแมคลาเรน โดยฝีมือขับของอแล็ง พรอสต์ ที่คว้าตำแหน่งแชมป์ที่มอนซ่า และทำให้ฮอนด้าได้แชมป์โลกประเภททีมผู้ผลิตในปีนั้นไปครองทันทีขณะที่ปฏิทินการแข่งขันในปีนั้นยังเหลืออีกถึง 4 สนาม
ปี 1990 ฮอนด้าฉลองการลงแข่งขันฟอร์มูล่า วันครบ 150 ครั้ง ด้วยไอร์ตัน เซนน่า ยอดนักแข่งจากบราซิลที่รับบทเด่นในการแข่งขันด้วยการได้ออกสตาร์ทคันหน้าสุดเป็นครั้งที่ 60 ของรถแข่งที่ใช้เครื่องยนต์ของฮอนด้า และเป็นผู้ทำความเร็วสูงสุดต่อรอบ ก่อนที่จะคว้าตำแหน่งชนะเลิศมาให้แก่ทีมของฮอนด้าเป็นครั้งที่ 5 บนสนามมอนซ่าแห่งนี้
ก่อนถึงการแข่งขันอิตาเลียนกรังด์ปรีซ์ในปี 1992 ฮอนด้าได้ประกาศเจตนารมย์ที่จะถอนตัวออกจากการแข่งขันฟอร์มูล่า วันเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลแข่งขันในปีนั้น แต่คำประกาศในครั้งนั้น หาได้ทำให้สปิริตของการแข่งขันของนักแข่งในทีมแมคลาเรน ฮอนด้า ลดน้อยถอยลงไปไม่ ไอร์ตัน เซนน่า ยังคงรับบทนำ ด้วยการคว้าชัยชนะเป็นครั้งที่ 32 ของตน และเป็นชัยชนะครั้งสุดท้ายของไอร์ตัน เซนน่าร่วมกับทีมฮอนด้า
ในประวัติศาสตร์การแข่งขันกรังด์ปรีซ์ของฮอนด้าที่ดำเนินมาถึง 200 ครั้ง สนามมอนซ่าเป็นเวทีแห่งความทรงจำถึงผลงานอันน่าภาคภูมิของฮอนด้าในการแข่งขันความเร็ว และจนถึงบัดนี้มอนซ่าก็ยังคงมนต์ขลังแห่งการเป็นครั้งแรกของฮอนด้าอยู่เพราะการแข่งขันอิตาเลียนกรังด์ปรีซ์ในปีนี้ คือการกลับมาสู่สนามมอนซ่าเป็นครั้งแรกของฮอนด้านับตั้งแต่หวนคืนสู่ฟอร์มูล่า วัน ร่วมกับทีมบี เอ อาร์ ฮอนด้าจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความผูกพันที่ฮอนด้ามีอยู่กับสนามมอนซ่าแห่งนี้พร้อมทั้งประวัติการเป็นผู้ชนะเลิศนับหลายครั้ง จะดำเนินไปด้วยดีจนถึงการแข่งขันกรังด์ปรีซ์อีก 200 ครั้งข้างหน้า
ตำนานของฮอนด้าในฟอร์มูล่า วัน
การลงแข่งขันครบ 200 ครั้งในฟอร์มูล่า วัน ของฮอนด้าในครั้งนี้ นับเป็นวาระสำคัญในประวัติศาสตร์อันน่าภาคภูมิใจของทีมและเป็นโอกาสพิเศษที่สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับฮอนด้าในฐานะหนึ่งในผู้ร่วมแข่งขันที่ประสบความสำเร็จผู้หนึ่งในตำนานของฟอร์มูล่า วัน
เรื่องราวของฮอนด้าในฟอร์มูล่า วัน แบ่งออกได้เป็น 3 ยุค ซึ่งแต่ละยุคก็ได้แสดงถึงช่วงเวลาที่ฮอนด้าเข้าร่วมแข่งขันความเร็วทางรถยนต์ในรายการสุดยอดของโลกนี้ ยุคแรกอยู่ในระหว่างปี 1964 ถึง 1968 สนามแรกในประวัติการแข่งขันฟอร์มูล่า วัน คือที่นูร์เบอร์กริ่งในปี 1964 โดยมี รอนนี่ บัคนัม เป็นนักขับคนแรกของทีม และริชชี่ กินเธอร์ เป็นนักขับของทีมที่คว้าแชมป์กรังด์ปรีซ์ครั้งแรกมาให้กับฮอนด้าในการแข่งขันที่เม็กซิโก ปี 1965
ยุคที่สองอยู่ในระหว่างปี 1983 ถึง 1992 ซึ่งเป็นยุคทองของฮอนด้าในฟอร์มูล่า วัน ด้วยการกวาดตำแหน่งแชมป์ทั้งประเภทนักขับและประเภททีมผู้ผลิตทั้งในชื่อของวิลเลียมส์ ฮอนด้า และแมคคลาเรน ฮอนด้า
ยุคที่สามของฮอนด้าในฟอร์มูล่า วัน เริ่มต้นขึ้นในปีนี้ เมื่อฮอนด้าหวนคืนสู่การแข่งขันกรังด์ปรีซ์อีกครั้งหนึ่ง และเริ่มต้นความสำเร็จด้วยการคว้าคะแนนสะสมจากการแข่งขันในรายการเดียวกันของนักแข่งทีม บี เอ อาร์ ฮอนด้า ทั้งสองคน ที่สนามเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ทีม BAR Honda ได้ที่ http://www.honda-racing.net
เผยแพร่ในนาม บริษัท เอเชี่ยน ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด สำนักงานใหญ่ฮอนด้าประจำภูมิภาคอาเซียน โดย บริษัท สปินเลอร์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์ จำกัด หากท่านต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ มิสเตอร์ ฮิโรชิ มิคาจิริ หรือ คุณพิมพร ศิริวรรณ ฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท เอเชี่ยน ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด โทรศัพท์ 236-0256 โทรสาร 635-1052--จบ--
-อน-