กรุงเทพฯ--24 ก.พ.--Worklink PR
PPS เผยงบปี 58 ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ-การลงทุน เดินหน้าปรับกลยุทธ์คว้างานวิศวกรที่ปรึกษากลุ่มประเทศ AEC พร้อมลุยงานภาครัฐ-เอกชนในประเทศ มั่นใจปีนี้ธุรกิจแนวโน้มเติบโตดี โชว์ Backlog 300 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ 300 ล้านบาท พร้อมรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 35 %
นายธัช ธงภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (PPS) เปิดเผยถึงผลประกอบการปี 58 ของบริษัท ว่า มีรายได้รวมจำนวน 238.92 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 266.81 ล้านบาท หรือลดลง 10 % และมีกำไรสุทธิจำนวน 3.39 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 17.72 ล้านบาท หรือลดลง 81 %
ทั้งนี้ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวลดลง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศ การลงทุนโครงการก่อสร้างทั้งของภาครัฐและเอกชนมีการชะลอตัว ส่งผลให้ปริมาณงานวิศวกรที่ปรึกษาบริหารโครงการก่อสร้างซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทปรับตัวลดลงตาม อีกทั้งขนาดของโครงการของกลุ่มลูกค้าในบางธุรกิจมีขนาด เล็กลง อย่างไรก็ตามบริษัทยังสามารถทำกำไรได้ในระดับที่น่าพอใจ เนื่องจากมีการบริหารจัดการต้นทุนในด้านต่างๆ ที่สอดคล้องกับสภาวะของธุรกิจ
สำหรับกลยุทธ์ในปีนี้บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์การดำเนินงาน เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจและรองรับการชะลอตัวของงานในประเทศ โดยบุกตลาดในกลุ่มประเทศ AEC มากขึ้น ปัจจุบันได้เริ่มเข้าไปรับงานในประเทศลาว กัมพูชา มาเลเซีย และอยู่ระหว่างการเดินหน้าขยายตลาดในประเทศพม่า มุ่งเน้นหาพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความน่าเชื่อถือ พร้อมแนะนำธุรกิจและบริการของ PPS ให้เป็นที่รู้จักของผู้ประกอบการในภาคธุรกิจต่างๆ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการเข้ารับงานในอนาคต
ส่วนงานวิศวกรที่ปรึกษาบริหารโครงการก่อสร้างในประเทศ บริษัทเริ่มเข้ารับงานภาคเอกชนมากขึ้นโดยเป็นโครงการก่อสร้างในภาคธุรกิจค้าปลีก โรงพยาบาล คอนโดมีเนียม ขณะที่งานก่อสร้างในภาคไอที และท่องเที่ยวยังอยู่ระหว่างการเสนองาน ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมืออยู่ที่ 300 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ถึง ปี 2561 สำหรับงานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ คาดว่าจะเริ่มเปิดประมูลโครงการท่าอากาศยานสุวรรณ-ภูมิเฟสสองได้ภายในไตรมาส 2 และโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินในไตรมาส 3 ซึ่ง PPS มีประสบการณ์การทำงานดังกล่าวเป็นอย่างดี และมีความพร้อมที่จะเข้าร่วมประมูลงานวิศวกรที่ปรึกษาบริหารโครงการด้วยเช่นกัน
"PPS มีเป้าหมายในการรับงานที่หลากหลายมากขึ้น ทั้ง 3 ส่วน ประกอบด้วย งานใน AEC งานภาครัฐ ภาคเอกชน เพราะถ้าอนาคตงานส่วนไหนมีปัญหา ก็จะมีอีกส่วนคอยเสริมรายได้ให้กับบริษัทและสร้างการเติบโตได้อย่างมั่นคง ซึ่งในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมไว้ที่ 300 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากลูกค้าใน AEC 10% งานภาครัฐ 30% งานภาคเอกชน 70% และรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 35 %" นายธัช กล่าว
นายธัช กล่าวต่อไปว่า จากการประชุมของคณะกรรมการบริษัทมีมติเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 59 ให้จัดสรรกำไรเป็นเงินปันผลจากกำไรสุทธิของปี 58 ในอัตราหุ้นละ 0.0556 บาท เป็นจำนวนทั้งสิ้น 22.24 ล้านบาท เงินปันผลดังกล่าวจะจ่ายเป็นหุ้นปันผลจำนวน 20.00 ล้านบาท (หุ้นสามัญจำนวน 80 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 0.25 บาท) และเงินสดปันผลจำนวน 2.24 ล้านบาท ในวันที่ 19 พ.ค. 59
นอกจากนี้คณะกรรมการยังมีมติเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 59 เพื่อพิจารณาอนุมัติการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทรุ่นที่ 1 ("PPS-W1") จำนวนไม่เกิน 240 ล้านหน่วย ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมโดยไม่คิดมูลค่า (รวมทั้งผู้ถือหุ้นที่ได้รับหุ้นปันผล) อายุ 2 ปี 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิฯ ใบสำคัญแสดงสิทธิฯ 1 หน่วย มีสิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนได้ 1 หุ้น ราคาการใช้สิทธิเท่ากับ 0.40 บาท/หุ้น
ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัทฯได้มีมติเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 59 เพื่อพิจารณาเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจาก 100 ล้านบาท (หุ้นสามัญ 400 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 0.25 บาท) เป็น 180 ล้านบาท (หุ้นสามัญ 720 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 0.25 บาท) โดยหุ้นสามัญที่ออกใหม่จำนวน 80 ล้านหุ้น ใช้เพื่อรองรับการจ่ายหุ้นปันผลดังกล่าว และหุ้นสามัญที่ออกใหม่จำนวน 240 ล้านหุ้น ใช้เพื่อรองรับการใช้สิทธิ PPS-W1