กรุงเทพฯ--24 ก.พ.--เมย์แบงก์ กิมเอ็ง
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) แข็งแกร่ง ครองแชมป์โบรกเกอร์อันดับ 1 ยาวนานต่อเนื่อง พร้อมก้าวขึ้นสู่ปีที่ 15 เร่งเดินหน้าธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถการให้บริการด้านการลงทุนและหลักทรัพย์ที่หลากหลาย ครอบคลุม 2 ธุรกิจหลัก ทั้งธุรกิจการซื้อขายหลักทรัพย์และวาณิชธนกิจให้ก้าวไปด้วยกันอย่างมั่นคง มุ่งขยายฐานลูกค้าและรักษามาร์เก็ตแชร์ครบทุกกลุ่ม ตั้งเป้าเติบโตไม่ต่ำกว่า10% ในปี 2559
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET เปิดเผยว่า เป้าหมายของกลุ่มเมย์แบงก์ กิมเอ็ง คือการก้าวสู่ความเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคอาเซียน เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จึงมีแผนเร่งพัฒนาธุรกิจให้หลากหลายและครอบคลุม ทั้งทางด้านธุรกิจหลักทรัพย์และวาณิชธนกิจ พร้อมตั้งเป้าหมายเป็นผู้นำในธุรกิจหลักทรัพย์ ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด และได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยในปี 2558 ที่ผ่านมา บริษัทฯสามารถทำรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 3,969.18 ล้านบาท และมีกำไรอยู่ที่ 1,019.23 ล้านบาท ถึงแม้ภาพรวมในปีที่ผ่านมาจะมีปริมาณการซื้อขายต่อวันที่ปรับตัวลง และระดับราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ อันเนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว การลงทุนภายในประเทศของภาครัฐยังบางตา ตลอดจนความกังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่ก็ถือได้ว่าภาพรวมรายได้และการทำกำไรก็ยังเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่องเมื่อเปรียบเทียบกับภาพรวมของอุตสาหกรรม
โดยความสำเร็จหลักส่วนใหญ่มาจากรายได้ในสายงานธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ คิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 66% ดอกเบี้ยรับ 24 % วาณิชธนกิจ 4% อื่นๆ 6% ตามลำดับ ปัจจุบันหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เป็นโบรกเกอร์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด โดยมีส่วนแบ่งการตลาด สิ้นสุดเดือนธันวาคม 2558 อยู่ที่ประมาณ 8.65% สามารถคิดเป็นฐานลูกค้าที่เปิดบัญชีกับบริษัทฯ รวมทั้งสิ้นประมาณ 170,000 บัญชี โดยเป็นนักลงทุนที่มีการซื้อขายสม่ำเสมอประมาณ 52% โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าขยายฐานนักลงทุนเพิ่มขึ้นอีก 10% ในปีนี้
ด้านสายงานวาณิชธนกิจ ที่ให้บริการด้านที่ปรึกษาทางการเงิน และการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ก็เดินหน้าไปได้ดีตั้งแต่ต้นปี โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อเตรียมการเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไป (IPO) ประมาณ 5-7 บริษัทในปี 59 อาทิ กลุ่มธุรกิจออนไลน์ กลุ่มพลังงาน กลุ่มกิจการเสริมความงาม กลุ่มกิจการโทรคมนาคม และกลุ่มธุรกิจจัดงานแสดงสินค้า เป็นต้น และมีกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ Real Estate Investment Trust (REIT) อีกประมาณ 2-3 กอง โดยมีมูลค่าการระดมทุนรวมทั้งหมดกว่า 10,000 ล้านบาท
ด้าน นางบุญพร บริบูรณ์ส่งศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ. หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในด้านของธุรกิจหลักทรัพย์ในประเทศนั้น บริษัทฯ มุ่งที่จะขยายฐานลูกค้ารายย่อยออกไป โดยมุ่งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของลูกค้ารายย่อยของบริษัทต่อลูกค้ารายย่อยทั้งหมดจาก 11.87% เป็น 13% ในปี 2559 โดยตั้งเป้าจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในด้านธุรกรรมออนไลน์ให้มากยิ่งขึ้น และขยายฐานลูกค้าโดยรวมเพิ่มขึ้นอีกประมาณร้อยละ 10
โดยปี 2558 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ทำการเปิดตัวผลิตภัณฑ์มากมายอาทิ 1).โปรแกรม Maybank Kim Eng LINE ครั้งแรกกับบริการถาม-ตอบ ข้อมูลด้านการลงทุนทันทีตลอด 24 ชั่วโมง 2).โปรแกรม eZy Trade ให้ลูกค้าสามารถตั้งคำสั่งซื้อขายแบบมีเงื่อนไข 4 คำสั่ง คือ Stop Order, Trailing Stop, Index Stop Order และ Grab Order 3).โปรแกรม Aspen ที่สามารถส่งคำสั่งซื้อขายผ่านมือถือเป็นที่แรกของประเทศไทย 4).พัฒนาโปรแกรม KEiTrade ที่มีฟังก์ชั่น Stock Radars ให้ใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีจุดเด่นด้านนวัตกรรม กับการพัฒนาระบบเทรดให้รองรับการส่งคำสั่งซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ตมากกว่า 10 ระบบ ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบันเมย์แบงก์ กิมเอ็ง มีสาขาทั้งหมด 34 สาขาในกรุงเทพฯ และ 24 สาขาในต่างจังหวัด (ข้อมูล ณ วันที่ 5 ก.พ. 59) อีกทั้งยังมีแผนขยายสาขาตามความต้องการด้านการลงทุนในเขตพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องด้วยปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป สามารถเข้าถึงการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านสมาร์ทโฟน และอินเทอร์เน็ต ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว การเร่งขยายสาขาเพียงอย่างเดียวนั้นจึงยังไม่สามารถตอบโจทย์ผู้ลงทุนได้อย่างตรงจุด บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญกับการปรับปรุงระบบด้านเทคโนโลยีให้มีความทันสมัย รวดเร็ว มากขึ้น โดยการพัฒนาระบบ Internet Trading มุ่งเน้นการเชื่อมต่อที่รวดเร็วแต่มีเสถียรภาพ เพื่อรองรับธุรกรรมใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น ปัจจุบัน บริษัทฯ มีลูกค้าที่เทรดผ่านระบบอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 54.15% และที่เหลือเทรดผ่านเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุน (IC) อีก 45.85% และในอนาคตตคาดว่าสัดส่วนลูกค้าที่ทำธุรกรรมผ่านอินเทอร์เน็ตก็มีแนวโน้มที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแผนงานในอีก 1-2 ปี ข้างหน้า เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง เช่น 1).Selling Agent ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้สนับสนุนการขาย และรับซื้อคืนหน่วยลงทุนทั้งสิ้น 14 บลจ.รวมกว่า 1,000 กองทุนมีกองทุนทุกประเภททั้งกองทุนตราสารหนี้ กองทุนตราสารทุน กองทุนต่างประเทศ รวมไปถึง LTF และ RMF นอกจากนั้นบริษัทยังเข้าร่วมโครงการ Fund Service Platform ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการยกระดับ และพัฒนาอุตสาหกรรมกองทุนรวม เพื่อวางมาตรฐานกระบวนการทำงานของกองทุนรวม เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า และขยายช่องทางให้ลูกค้าเข้าถึงการลงทุนในกองทุนรวมได้สะดวกยิ่งขึ้น 2).โปรแกรม IRESS โปรแกรมซื้อขายหุ้นต่างประเทศ ที่รองรับการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง ครอบคลุมกว่า 30 ตลาดทั่วโลก พร้อมกันนั้นบริษัทยังมีบทวิเคราะห์หุ้นต่างประเทศ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากกลุ่มเมย์แบงก์ ที่มีทีมงานคุณภาพพร้อมคอยให้บริการและผลิตบทวิเคราะห์ออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการแนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ ของกลุ่มเมย์แบงก์ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายในปัจจุบัน 3).ต่อยอดโปรแกรม Algo Trading พัฒนาโปรแกรม eZy Trade ให้สามารถซื้อขายบนระบบ Settrade Streaming ผ่านโทรศัพท์มือถือของลูกค้าได้ รวมถึงพัฒนาโปรแกรม eFin Auto Trade บนทุก Platform ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือทั้งระบบปฏิบัติการ ios และ Android เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าใช้บริการ 4).โปรแกรม LINE บริษัทมีแนวทางพัฒนาให้ลูกค้าสามารถส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นผ่านโปรแกรม LINE เพิ่มโอกาสในการซื้อขายหุ้น และเพิ่มความสะดวกรวดเร็วให้กับลูกค้า
"ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าด้วยดีเสมอมา จากนี้ไปเราจะมุ่งมั่นเสริมทัพธุรกิจให้แข็งแกร่งในทุกๆสายงาน ครอบคลุมครบทุกผลิตภัณฑ์ พร้อมกับเดินหน้าให้ความรู้ และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน สร้างโอกาสในการลงทุนที่ดี และด้วยแผนงานทั้งหมดที่กำหนดไว้ในปีนี้ เราเชื่อมั่นว่าจะช่วยสนับสนุนบทบาทของกลุ่มเมย์แบงก์ ในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำในภูมิภาค และสามารถรักษาบทบาทความเป็นผู้นำของเมย์แบงก์กิมเอ็งในไทยได้อย่างมั่นคง และเชื่อมั่นว่าเป้าหมายของปี 59 กับการเติบโต 10 % จะสามารถเป็นไปได้อย่างแน่นอน " นางบุญพร กล่าวทิ้งท้าย