กรุงเทพฯ--25 ก.พ.--ฟินันเซีย ไซรัส
นายช่วงชัย นะวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส หรือ FSS เปิดเผยว่า ผลประกอบการปี 2558 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 162.5 ล้านบาท ลดลงจากปี 2557 จำนวน 81.17 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 33.31 โดยในปี 2558 บริษัทฯ มีรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ 1,333.62 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนลดลง 54.85 ล้านบาท หรือคิดเป็นลดลงร้อยละ 3.95 ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาดหลักทรัพย์ฯ จาก 41,521 ล้านบาท เป็น 40,225 ล้านบาท รวมทั้งการลดลงของรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า, ค่าธรรมเนียมและบริการจากการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ สามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดขึ้นมาติดสามอันดับแรกที่ 5.65%ในปี 2558 โดยตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 6% โดยบริษัทฯ เน้นจุดแข็งที่มีหุ้นไอพีโอที่โดดเด่นให้กับลูกค้าของบริษัทฯ มาโดยตลอดซึ่งส่งผลให้นักลงทุนที่มีความสนใจลงทุนในหุ้นไอพีโอมาเปิดบัญชีใหม่กับบริษัทฯ จำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้คาดว่าบริษัทฯ จะเป็นที่ปรึกษาการเงิน และ/หรือ ผู้จัดการในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ในการเสนอขายหุ้นไอพีโออีกประมาณ 4 - 5 บริษัท ทำให้สามารถจัดสรรให้แก่ลูกค้าและนักลงทุนได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี
ด้านผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ บริษัทฯ ได้เสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ หรือ DW รุ่นแรกเมื่อเร็วๆ นี้ เน้นจุดเด่นของ DW24 ที่ออกแบบให้มีอัตราทดสูงและกำหนดค่าความผันผวนแฝง (Implied Volatility) ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมทำให้ DW24 มีราคาและมูลค่าเวลาที่ไม่แพงจนเกินไป ซึ่งหลังจากการเสนอขายก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากนักลงทุน โดยบริษัทฯ พร้อมเสนอขาย DW ให้ครอบคลุม 60 หุ้นอ้างอิงภายในระยะเวลา 3 เดือน ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจ DW ให้ติดสามอันดับแรกภายในระยะเวลาหนึ่งปี นอกจากนี้ บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าพัฒนางานด้านธุรกรรมอิเลคโทรนิคส์ ออนไลน์เทรดดิ้งให้มากขึ้นทั้งในส่วนของงานให้บริการลูกค้าในด้านการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านอินเทอร์เน็ตและงานพัฒนาระบบงานภายใน หวังขึ้นแท่นผู้นำด้านอินเทอร์เน็ตเทรดดิ้งในอนาคตอีกด้วย
บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศโดยเฉพาะตลาด CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์และเวียดนาม) ซึ่งเรามีพันธมิตรในการรับส่งออเดอร์ และคาดว่าตลาด CLMV จะมีแนวโน้มเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้นในอนาคต สำหรับตลาดหลักทรัพย์ที่กัมพูชา บริษัทฯ ได้ร่วมทุนใน SBI Royal Securities ซึ่งสามารถปิดดีล cross border M&A ขนาดใหญ่และอยู่ในระหว่างการทำ IPO คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาสที่ 1 ปีนี้ และยังมีงานแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่กำลังดำเนินการอยู่อีก โดยคาดว่าหลังจากมีบริษัทจดทะเบียนเพิ่มมากขึ้นในตลาดจะส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ในกัมพูชามีปริมาณการซื้อขายที่คึกคักมากขึ้นด้วย
ส่วนความคืบหน้าเรื่องตลาดหลักทรัพย์ที่เมียนมาร์ ขณะนี้บริษัทฯ ได้รับการติดต่อเพื่อร่วมทุนกับสถาบันการเงินหลายแห่ง ซึ่งบริษัทฯ อยู่ในระหว่างการพิจารณาเพื่อรอดูสถานการณ์ให้มีความชัดเจนขึ้นก่อนการตัดสินใจลงทุน สำหรับตลาดหลักทรัพย์เวียดนาม เรามีลูกค้าเปิดบัญชีอย่างต่อเนื่องและมีแผนงานในการนำลูกค้าคนไทยเดินทางไปพบกับบริษัทจดทะเบียนที่เวียดนามอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ลูกค้าได้รับข้อมูลในการตัดสินใจลงทุน