กรุงเทพฯ--29 ก.พ.--แฟรนคอม เอเชีย
บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานปี 2558 สรุปได้ดังนี้
กำไรสุทธิ
ในไตรมาส 4 ปี 2558 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,261.4 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 174 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.130 บาทต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 198 และมีกำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ในไตรมาส 4 ปี 2558 จำนวน 1,228.0 ล้านบาท (ไม่รวมการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 33.3 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 127
สำหรับปี 2558 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 3,335.8 ล้านบาท ซึ่งรวมกำไรของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยแล้ว เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.339 บาทต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10
บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งผลกำไรจากธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภค (ไม่รวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้) รวมเป็น 1,594.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้จากการลงทุนด้านพลังงาน (โรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน และ GJP NLL) จำนวน 362.5 ล้านบาท เทียบกับผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้จำนวน 3 ล้านบาท เมื่อช่วงเดียวกันของปี 2557 ด้วยเหตุนี้ บริษัทเหมราชฯ มีกำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ในปี 2558 จำนวน 3,698.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 13
มร. เดวิด นาร์โดน กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ดังนี้
"บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) มีผลการดำเนินงานและผลประกอบการประจำปี 2558 ในระดับที่สูง เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับสภาวะทางเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก บริษัทฯ มีรายได้จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 35 โดยรายได้ในส่วนนี้จะสามารถรับรู้ได้ก็ต่อเมื่อมีการโอนที่ดิน อย่างไรก็ตาม ในส่วนรายได้รวมจากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ในทุกกลุ่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2557 ขณะที่รายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม (ไม่รวมพลังงาน) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับเดียวกันของปีที่ผ่านมาเช่นกัน
สำหรับปี 2558 บริษัทฯ สามารถขายที่ดินอุตสาหกรรมได้จำนวน 1,043 ไร่ (417 เอเคอร์ หรือ 167 เฮกตาร์) จากสัญญาจำนวน 28 สัญญา ซึ่งในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 22 ราย และจากการขยายกิจการของลูกค้ารายเดิม 6 ราย โดยร้อยละ 64 เป็นลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อุตสาหกรรมยานยนต์
ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศในปี 2558 ลดลงร้อยละ 9 ขณะที่ปริมาณการผลิตรถยนต์โดยรวมกลับเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 ส่วนยอดการส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จึงส่งผลให้มูลค่าการส่งออกยานยนต์ในช่วงดังกล่าวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าการส่งออกยานยนต์คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.05 ของมูลค่าการส่งออกของไทยทั้งหมด
สำหรับปี 2558 ยอดการเช่าพื้นที่โรงงานสำเร็จรูปภายใต้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) มีจำนวนใกล้เคียงกับที่ผ่านมาที่ 299,586 ตร.ม. ในขณะที่บริการคลังสินค้าให้เช่าของเหมราชฯ มียอดการเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้น 17,647 ตารางเมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 21 จากยอดรวมของปี 2557
สำหรับธุรกิจโรงไฟฟ้า บริษัทเหมราชฯ ได้รับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุนในธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภค (ไม่รวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง) เป็นจำนวน 1,594.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า นอกจากนี้ บริษัทเหมราชฯ ยังได้ลงนามในข้อตกลงถือหุ้นกับบริษัท บี.กริม และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ ในปี 2558 เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กอีก 7 โครงการ ซึ่งแต่ละโครงการมีกำลังการผลิตที่ 126 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป การลงทุนครั้งนี้จะช่วยส่งผลให้กำลังการผลิตไฟฟ้าในส่วนที่เหมราชถือครองเพิ่มขึ้นจาก 318 เมกะวัตต์ เป็นทั้งสิ้น 538 เมกะวัตต์ ภายในปี 2562
ส่วนการผนึกกันระหว่างดับบลิวเอชเอ และเหมราช จะทำให้ทั้งสองบริษัทสามารถนำเสนอสินค้าและบริการด้านนิคมอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภค โรงไฟฟ้า และโลจิสติกส์ที่ครบวงจรให้แก่ลูกค้า และสร้างเสริมความสำเร็จร่วมกันต่อไป
บริษัทฯ มีแหล่งรายได้จากหลายธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจสาธารณูปโภค ธุรกิจพลังงาน และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และผลการดำเนินงานของปี 2558 ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างผลกำไรจากการลงทุนที่ก่อให้เกิดรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์ของบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาวเป็นหลัก และเนื่องจากการเสนอซื้อหุ้นต่อผู้ถือหุ้นทั่วไปครั้งที่สองของดับบลิวเอชเอแล้วเสร็จด้วยสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 98.54 บริษัทฯ จะมุ่งดำเนินการเพื่อให้ได้ผลลัพธ์จากการผนวกรวมกิจการให้ต่อเนื่องต่อไป ด้วยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญกว่า 23 ปี ของกระผมในการพัฒนาที่ดินและนิคมอุตสาหกรรมของเหมราชฯ ผมขอขอบคุณสำหรับความเชื่อมั่นและการสนับสนุนจากทุกท่านตลอดมา" มร. เดวิด นาร์โดน กล่าว
รายได้รวมและผลการดำเนินงานของปี 2558
ในปี 2558 บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 7,471.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปี 2557 ที่มีรายได้รวม 6,333.1ล้านบาท โดยรายได้มาจากธุรกิจหลักจำนวน 7,544.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2557 รายได้จากการขายที่ดินอุตสาหกรรมในปี 2558 มีจำนวน 4,655.9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 35 โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 40 ซึ่งนับรวมถึงรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนจำนวน 33.5 ล้านบาทในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการขายที่ดินอุตสาหกรรมที่มีการลงนามสัญญาซื้อขายไปแล้วแต่รอการรับรู้อีกจำนวน 429 ล้านบาทในช่วง 3-12 เดือนข้างหน้า ด้วยวิธีการรับรู้รายได้ทั้งจำนวนเมื่อมีการโอน
รายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 1,760.9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ทั้งนี้รายได้รวมจากระบบสาธารณูปโภคซึ่งรวมถึงรายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม เงินปันผลจากบริษัทด้านพลังงานและสาธารณูปโภค และรายได้จากระบบสาธารณูปโภคและบริการอื่น ๆ เพิ่มขึ้นเป็น 1,927.3 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 4
รายได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์และบริการต่างๆ ได้แก่ โรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่า การให้เช่าฐานวางท่อ และการให้เช่าสำนักงานเพิ่มขึ้นเป็น 937.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เนื่องจากมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการให้เช่าฐานวางท่อที่เพิ่มขึ้นเป็น 153.9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 จากอัตราการเช่าและใช้งานที่เพิ่มขึ้น ส่วนรายได้จากโรงงานให้เช่ามีการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 494.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 ขณะที่รายได้จากการให้เช่าคลังสินค้าเพิ่มขึ้นเป็น 151.4 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นร้อยละ 7
บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 3,444.5 ล้านบาท มีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) จำนวน 3,237.0 ล้านบาท ในปี 2558 โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA Margin) อยู่ที่ร้อยละ 46 และร้อยละ 43 ตามลำดับ
เหตุการณ์สำคัญในปี 2558
บริษัทฯ มียอดขายที่ดินอุตสาหกรรมจำนวน 1,043 ไร่ จาก 28 สัญญา โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 22 ราย และจากการขยายกิจการของลูกค้าเดิมจำนวน 6 ราย ทำให้ปัจจุบันเหมราชฯ มีลูกค้ารวมทั้งสิ้น 668 รายจากสัญญาซื้อขายทั้งสิ้น 1,003 สัญญา ซึ่งในจำนวนนี้เป็นลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จำนวน 233 ราย จากสัญญาซื้อขายจำนวน 352 สัญญา
พื้นที่เช่าและขายของโรงงานสำเร็จรูปลดลงสุทธิ 2,484 ตารางเมตร รวมพื้นที่เช่าทั้งหมด 299,586 ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่การเช่าภายใต้บริษัทเหมราชจำนวน 194,268 ตารางเมตร และภายใต้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) จำนวน 105,318 ตารางเมตร นับตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 2558 (เหมราชฯ ถือหุ้นร้อยละ 23.12)
พื้นที่คลังสินค้าให้เช่าเพิ่มขึ้นสุทธิ 17,647 ตารางเมตร หรือร้อยละ 21 จากปี 2557 รวมพื้นที่เช่าทั้งหมด 100,082 ตารางเมตร
เหตุการณ์หลังไตรมาส 4 ของปี 2558
เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559 บริษัท ดับบลิวเอชเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เข้าซื้อหุ้นของเหมราช คิดเป็นร้อยละ 98.54 จากจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทฯ โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้อนุมัติการเพิกถอนหุ้นของบริษัทฯ ออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยผู้ลงทุนสามารถทำการซื้อขายหุ้นของเหมราชได้เป็นวันสุดท้ายที่ 1 มีนาคม 2559
งบดุลรวมสำหรับปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2558
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558 บริษัทฯ ได้แสดงสินทรัพย์รวม จำนวน 32,491ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 18,197 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 14,295 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนของหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ อยู่ที่ 1.07 เท่า โดยมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเป็นจำนวน 2,936 ล้านบาท