กรุงเทพฯ--2 มี.ค.--สหมงคลฟิล์ม
ด้วยโจทย์ที่ว่า"ทุกอย่างใหม่หมด"แน่นอนว่าไม่เพียงส่งผลต่อวิธีคิดหรือสร้างสรรค์ไอเดียชนิดที่เรียกได้ว่าต้องทำร้ายสมองกันเลยทีเดียวว่าจะทำอย่างไรให้"บุปผาอาริกาโตะ"จะต้องแตกต่างจาก"บุปผาราตรี"ที่ผู้กำกับต้อมยุทธเลิศและทีมงานที่ผ่านการทำงานร่วมกันมาตลอด13ปีโดยสิ้นเชิง เริ่มจากโลเกชั่นที่เลือกใช้ดำเนินเรื่องในการถ่ายทำและเป็นจุดเกิดเหตุสำคัญที่ผู้ชมจะได้สัมผัสกับเรื่องราวของบุปผาใหม่ในเมืองหิมะ จึงเป็นที่มาของการเหินฟ้าสู่เมืองนิเซโกะ เกาะฮอกไกโด ทางตอนเหนือของประเทศญี่ปุ่นเมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีหิมะที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น สวรรค์สำหรับนักเล่นสกี
"คือที่เราเลือกไปนิเซโกะเพราะว่าเป็นเมืองท่องเที่ยว และเป็นเมืองที่แบบฮิตมาก มีคนชอบคนนิยมไปเล่นสกีไปเล่นอะไรอย่างนี้ แต่ไอ้เล่นสกีนี่มันก็ยังไม่สำคัญเท่ากับหิมะ คือที่นิเซโกะนี่ เขาบอกว่าเป็นเมืองที่หิมะสวยที่สุดในญี่ปุ่น เขาเรียกว่าเป็น powder snow คือมันเหมือนแป้งโรย มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วหิมะที่นี่มันค่อนข้างหลากหลาย เราได้เห็นหิมะที่มันมีหลายแบบมากๆ มีหลายเวอร์ชั่นทั้งหิมะแบบฟูฟ่อง เป็น flake เป็นแป้ง หิมะโปรยปลิวๆเหมือนในโปสการ์ดที่เราเคยเห็นที่เขาถ่ายสวยๆที่เราก็ไม่นึกว่าจะมีอยู่จริง แล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถนนสีขาว สีขาวแบบเป็นแป้งจริงๆเลยนะ ในหนังเราก็จะได้เห็นหิมะตกเยอะๆตกเหมือนฝนก็มี ซึ่งถ้าคนชอบหิมะ พี่ชอบหิมะ แต่ไม่ชอบความหนาวนะ แต่ชอบหิมะ ก็เหมือนกับว่าบุปผาอาริกาโตะ ขอบคุณคนดูด้วยกัน พาไปดูหิมะก่อนจะหัวเราะกัน หลอนกันไปอะไรแบบนี้อย่างตอนไปถ่ายนี่ เป็นพายุหิมะ เป็นอะไรที่มันมีหลายแบบมาก และเป็นเมืองที่ฮิตมากสำหรับคนไทย ตอนพี่ไปถ่าย เจอคนไทยไปเยอะเลย แต่พี่ไม่ได้บอกเขาว่าพี่มาถ่ายหนัง พี่ก็นั่งแอบๆ แต่ว่าด้วยความที่เราจะไปทำให้เมืองนิเซโกะเป็นเมืองผีสิง พี่ก็เลยบอกทุกคนไปเล่นสกี ดีแล้ว ในหนังก็จะเห็นมู้ดสวย สวยงาม"
ส่งผลให้เหล่าทีมงานนักแสดงผู้กำกับจากไทยแลนด์ดินแดนร้อนตับแตกจะต้องทำงานท่ามกลางอุณหภูมิติดลบโดยเฉพาะอย่างยิ่งสาวน้อยแทบจะคนเดียวท่ามกลางนักแสดงหนุ่มๆที่จะต้องมีฉากถ่ายทำท่ามกลางหิมะที่หลากหลายทั้งพายุหิมะ หรือขึ้นกระเช้าเพื่อเข้าฉากที่ต้องเล่นสกี และกลายเป็นประสบการณ์ในการเล่นสกีครั้งแรกของ เก้า สุภัสสรา ซึ่งรับบทเป็นบุปผาคนใหม่
"มองไปทางไหนก็เห็นเป็นหิมะสีขาวๆๆๆอย่างนี้เลยค่ะ ทีแรกยังคิดเลยว่ากลับมาจะต้องตัวขาวขึ้นแน่ๆเลย เพราะว่าเราใส่ชุดกันหนาวตลอดเวลาใช่มั้ยค่ะ ปรากฎว่าไม่ค่ะ กลับมาแล้วตัวดำ (หัวเราะ) เพราะเหมือนว่าแสงมันสะท้อนหิมะ ตอนที่ไปนิเซโกะนะค่ะประมาณลบ7ลบ8อะไรประมาณนี้นะค่ะถ้าแบบอยู่ธรรมดา แต่ถ้าขึ้นไปเล่นสกีในฉากนั้นที่มันเป็นหิมะก็ประมาณ-18เลย เพราะฉะนั้นหนาวมาก เราก็ไม่หวั่นค่ะ เพราะเราภูมิใจที่ได้เป็นบุปผา(หัวเราะ) อย่างฉากเล่นสกีก็เป็นฉากที่ประทับใจฉากหนึ่งค่ะ เพราะว่าเรียนไปไม่นานแล้วก็ต้องมาถ่ายจริง ซึ่งสนุกมากเลย ก็อยากจะกลับไปเล่นอีก
ต้องชมพี่ต้อมค่ะเพราะเรื่องนี้พี่ต้อมรับหน้าที่ผู้กำกับเขียนบทเองและยังทั้งถ่ายและกำกับภาพเองด้วย เวลาถ่ายพี่ต้อมก็ต้องถอดถุงมือเพื่อบังคับ และควบคุมกล้องด้วยใช่มั้ยค่ะ คิดดูละกันกับอุณหภูมิติดลบขนาดนั้น เห็นว่าถึงกับมือล็อคเลย เราก็จะได้เห็นถึงความเก่ง ความอึด ความเต็มที่ของพี่ต้อมในหลายๆมุมเลย"
ขณะที่สาวเก้าได้ใส่ชุดเล่นสกีเต็มยศ แต่หนุ่มแน็ก ชาลีกลับต้องถอดเสื้อดีดกีตาร์ร้องเพลงกลางหิมะตามคำสั่งของผู้กำกับต้อมยุทธเลิศท่ามกลางอุณหภูมิติดลบ แต่ถึงกระนั้นหนุ่มแน็กเองก็พูดได้ว่าเป็นนักแสดงคนเดียวในทีมที่ยืดอกรับกับสภาพของหิมะที่ตกหนักแค่ไหนก็ไม่หวั่นซึ่งรวมไปถึงการที่ต้องเผชิญกับพายุหิมะได้อย่างสบายๆ แถมกลับรู้สึกชิลชิลที่ต้องถ่ายทำท่ามกลางอุณหภูมิติดลบ โดยที่เพื่อนๆในแก๊งที่เข้าฉากด้วยกันถึงกับต้องพึ่งพายาแก้ไข้ขนานต่างๆที่หนุ่มแน็กพกติดตัวกันถ้วนหน้า
"จริงๆผมไม่ขี้หนาวนะ บอกได้เลยว่าอยู่ที่พักไม่เคยใส่เสื้อแขนยาวเลย นอนก็ไม่ใส่ สบายมาก ทุกคนนี่เย็นเท้าเย็นมือกันแบบทรมานอะไรอย่างนี้ มีอยู่ฉากหนึ่งที่พี่ต้อมให้พวกเราถ่ายกลางหิมะโดยเหลือเพียงกางเกงในตัวเดียว เราก็รู้สึกว่า เอ้อ สงสารแต่ละคน แบบเหนื่อยแล้วก็ออกไปอยู่ข้างนอกทีแบบหลายชั่วโมง ซึ่งมันหนาวมาก ไม่มีที่หลบไม่มีที่อะไรอย่างนี้ รู้สึกว่ามันทรหดจริงๆเลยนะ พอดีตัวผมเองเป็นคนชอบอากาศเย็นมาก แล้วรู้สึกว่าอยู่ที่โน่นแล้วอากาศมันดีมาก กลับกันเวลาผมอยู่เมืองไทยผมป่วยบ่อยไง แต่พอไปอยู่โน่นทำให้เราแบบไม่ป่วยเลย ยาที่เอาไปแก้ป่วยหรือแก้อักเสบเพื่อนเอาไปกินหมดอะไรอย่างนี้ ซึ่งเราก็รู้สึกชอบมาก ออกไปเล่นหิมะตลอด พูดถึงความลำบาก พวกเรานี่ไปลำบากกันมาก แต่รับรองว่าคนดูนี่ ดูแล้วสนุกแน่นอน ได้คุ้มตรงที่ได้เห็นภาพที่สวยมาก หิมะที่เราไปเจอนี่ เหมือนที่บอกกันว่าเราเจอทุกรูปแบบเลย ถ่ายๆอยู่ไม่มีเลย ถ่ายๆอยู่ลงมาตู้ม จนถ่ายไม่ได้เลย หรือบางที มันมาแบบ โห มาเป็นพายุหรือแบบมาเบา มาเป็นแบบ หูย ใหญ่มาก หิมะไม่ใช่เป็นแบบเกล็ดเล็กๆนะ แต่แบบเป็นปุยใหญ่ๆมาเลย ซึ่งแบบสวยงามมากเลยในเรื่องนี้ ถ้าเป็นการถ่ายงานที่แบบมีหิมะ ก็น่าจะเป็นครั้งแรกเลยสำหรับผมที่ได้มาสถานที่ที่ขาวโพลนอะไรอย่างนี้"
และแน่นอนว่าการได้มาซึ่งโลเกชั่นที่ทั้ง "ใหม่" และ "แปลกตา" คือความท้าทายที่ผู้กำกับต้อมยุทธเลิศและทีมงานตั้งใจเลือก เพียงแต่จะทำอย่างไรให้บรรยากาศที่สว่าง สดใส ขาวโพลน และสวยแบบนี้จะสะกดความรู้สึกของคนดูให้อยู่หมัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสัมผัสได้ถึง "ความหลอนที่ชวนขนลุก" ภายใต้เรื่องราวของ "บุปผาอาริกาโตะ"ที่แตกต่างอย่างน่าหวาดสะพรึง
"สิ่งหนึ่งที่น่าจะทำให้มันกระโดดอยู่คนละโลกกับบุปผาภาคผ่านๆมาก็คือเรื่องของโลเคชั่น โดยเฉพาะบุปผาราตรีจะมีโลเคชั่นหลักก็คือออสการ์อพาร์ตเมนท์ที่เพชรบุรีตัดใหม่ น่ากลัวมาก เห็นแล้วน่ากลัวเลย ไม่ต้องทำ ถ่ายอะไรก็น่ากลัว แต่ว่าอันนี้เป็นวิธีใหม่ของพี่ แล้วความน่ากลัวของพี่นี่ ถ้าทำแบบนั้นมันจะเก่า พี่เลยเลือกที่จะ เฮ้ย ใหม่เลย บ้านผีสิงแต่ใหม่ไง พี่เลือกอันนี้ คือเลือกโลเคชั่นที่ญี่ปุ่นเป็นบ้านทันสมัย เป็นบ้านเช่าที่ทันสมัย อยู่ในป่าเขา ที่สวย มันไม่ใช่โลเคชั่นที่น่ากลัว มันเป็นโลเคชั่นที่สวย หน้าที่พี่ยากขึ้นอีก ก็คือว่าเราจะทำยังไงให้ที่ที่สวยอย่างนั้น สว่างอย่างนั้น คือขาวหมด สว่าง ทำให้มันน่ากลัว ยากแน่นอน หลายคนถ้ามอง แค่เห็นจะน่ากลัวยังไง แต่พี่มองว่าความน่ากลัวพี่ไม่ได้เอาไปใส่ในโลเคชั่น เพราะคิดว่ามันซ้ำ ทุกคนทำมาหมดแล้ว คราบดำคราบเก่า เฮ้ย ไม่เลย คลีนๆ แต่ความน่ากลัว มันอยู่ที่สตอรี่มากกว่า ความน่ากลัวที่จะเกิดขึ้นกับคาแรคเตอร์ พี่ไปสนใจกับตรงนั้นมากกว่า ความน่ากลัวของผีที่มันอยู่ มันไม่ได้น่ากลัวตรงลุค แต่มันน่ากลัวตรงไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น ความน่ากลัวของพี่จะเป็นเรื่องของการคาดเดาไม่ได้ ความน่ากลัวในสิ่งที่คอนโทรลไม่ได้ ผีที่สิงอยู่นั่นก็เป็นผีบ้า คาแรคเตอร์ผีบุปผาราตรีตัวใหม่ก็ซับซ้อน จะฆ่ากูหรือเปล่า ยืนอยู่ใกล้ๆมันจะแทงกูหรือเปล่า คือความน่ากลัวมันจะอยู่แบบนั้น ความน่ากลัวที่ได้มันจะมาพร้อมความใหม่ พี่สนใจความใหม่มากกว่าความซ้ำ คือถ้าน่ากลัวแล้วซ้ำ พี่ขอเดินทางใหม่"
และเมื่อทุกองค์ประกอบที่เต็มไปด้วยความยากและสุดท้าทายผ่านการฝ่าฟันจากหยาดเหงื่อ ความคิด และพลังสร้างสรรค์จนถึงที่สุดผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้ทุกอุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างทางกลายเป็นหลักไมล์แห่งความทรงจำที่สำคัญเมื่อย้อนกลับไปมอง โดยที่ภาพซึ่งปรากฎอยู่ตรงปลายทางข้างหน้ากลับสัมผัสได้ว่า "บุปผาอาริกาโตะ" เป็นอีกหนึ่งผลงานที่แสนท้าทายในชีวิตจนอยากให้ทุกคนได้สัมผัสเช่นเดียวกับที่บุปผาคนใหม่อย่างเก้าสุภัสสราและเหล่าหนุ่มๆจากแก๊งแฟนฉันทั้งออฟ,เก็ต,หยก,อ๋อง,แจ๊คและแน็ก รู้สึกว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่คุ้มค่าเหลือเกินที่ได้กลับมาทำงานร่วมกันและทุ่มเทพลังกายและพลังใจอย่างสุดตัว 12 เมษายนนี้เตรียมสัมผัสความเหน็บหนาวที่พร้อมเสียดแทงความกลัวให้ดิ่งลึกกว่าที่เคยของ "บุปผาอาริกาโตะ" ในเดือนที่ร้อนที่สุดพร้อมกันทุกโรงภาพยนตร์