กรุงเทพฯ--3 มี.ค.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
บล.โกลเบล็กมองดัชนีหุ้นไทยฟื้น รับมาตรการ QE ตามการส่งสัญญาณเชิงบวกของธนาคารกลางยุโรป (ECB)ในการประชุมในวันที่ 10มี.ค.นี้ หลังจากอัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนเดือนกุมภาพันธ์หดตัว0.2% พร้อมทั้งคาดการณ์เฟด คงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.25% - 0.50%บวกกับราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังรัสเซียใกล้บรรลุข้อตกลงกับกลุ่มโอเปก ให้แนวต้านดัชนี 1,390-1,400 จุด แนะลงทุน AOT รับอานิสงส์แผนขยายดอนเมืองเฟส 3 มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท ส่วนราคาทองคำมีแนวโน้มปรับลง หลังเศรษฐกิจมีสัญญาณเชิงบวก ให้แนวรับ 1,190-1,185 เหรียญต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,260-1,265 เหรียญต่อทรอยออนซ์
น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS กล่าวว่าแนวโน้มภาวะตลาดหุ้นไทยได้แรงหนุนจากตลาดต่างประเทศโดย ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ใช้มาตรการ QE เพิ่มเติมในการประชุมวันที่ 10 มีนาคม หลังจากอัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนเดือนกุมภาพันธ์หดตัว0.2% และกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) คงอัตราดอกเบี้ยที่0.25% - 0.50% ในการประชุมวันที่ 15-16 มีนาคมนี้ อีกทั้งราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นหลังจากรัสเซียใกล้บรรลุข้อตกลงกับกลุ่มโอเปกในการจำกัดการผลิตน้ำมัน
ประกอบกับธนาคารกลางจีนลดสัดส่วนการกันสำรอง (RRR) ลง 0.5% เหลือ 17% ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้วันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศอีกครั้ง
อย่างไรตามปัจจัยที่ยังคงกดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ยังคงมีต่อเนื่องโดยเฉพาะการส่งออกที่ติดลบ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยเตรียมปรับลดเป้า GDP หลังจากเศรษฐกิจไทยในเดือนมกราคมมีทิศทางแผ่วลง ทำให้การส่งออกติดลบ 9.3% และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI) ภาคการผลิตของจีน ในเดือนกุมภาพันธ์ก็ปรับตัวลงแตะ 49 จุด หดตัวลงเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของจีนในเดือนกุมภาพันธ์ลดลงสู่ระดับ 51.2 จาก 52.4 ในเดือนม.ค. ซึ่งบ่งชี้ว่าแนวโน้มการเติบโตของภาคบริการจีนได้ชะลอความแรงลง
ด้านนายชัยยศ จิวางกูรผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก ประเมินกลยุทธ์การลงทุนใน SET ว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยยังคงมีน้ำหนักเชิงบวก ตามราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้น หลังจากรัสเซียใกล้บรรลุการเจรจากับกลุ่มโอเปกในการควบคุมกำลังการผลิตน้ำมัน รวมถึงการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะใช้ QE เพิ่มเติมในการประชุม 10 มีนาคมนี้
ดังนั้นคาดว่า SETจะปรับตัวขึ้นเพื่อทดสอบแนวต้าน 1,390-1,400 จุด แนะนำกลยุทธ์การลงทุน Selective Buyแนะนำ AOTที่ได้ประโยชน์จากแผนขยายดอนเมืองเฟส 3 กว่า 1 หมื่นล้าน รองรับผู้โดยสารได้ 40 ล้านคนต่อปี ซึ่งจะเสนอบอร์ดอนุมัติ 23 มีนาคมที่จะถึงนี้แนะกลุ่มพลังงานที่ได้รับอานิสงส์ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น รวมไปถึงกลุ่มที่มีปันผลสูง แนะนำ INTUCH ADVANC KTB KKP TISCO
สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ นายสุทธิพงษ์ศรีพรประเสริฐ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่าราคาทองคำเริ่มย่อตัวลงหลังสหรัฐรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจากรายงานตัวเลขการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างของสหรัฐเพิ่มขึ้นในเดือนมกราคม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2007 บวกกับรายงานตัวเลขดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐมีการปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในเดือนกุมภาพันธ์ มาที่ระดับ 49.5 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน กันยายน2558
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นหลังรัสเซียระบุว่าใกล้มีการบรรลุข้อตกลงกับกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ในการจำกัดการผลิตน้ำมันขณะที่รัสเซียเผยจะไม่เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในปีนี้เป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน พร้อมทั้งธนาคารกลางจีนปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์(RRR)ลง 0.5% เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในตลาดการเงินและกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศทำให้นักลงทุนย้ายการลงทุนจากทองคำมาที่ตลาดหุ้น
ส่วนการรายงานอัตราเงินเฟ้อระยะยาวของสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นสองเท่าในเดือนมกราคม สู่ระดับ 1.3% ซึ่งขยับเข้าใกล้เป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% ของเฟด รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาแข็งแกร่ง ทำให้มีกระแสคาดการณ์ที่เพิ่มมากขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ โดยเฟดจะมีการประชุมอีกครั้งช่วงวันที่ 15-16 มีนาคม นี้รวมถึงยูโรสแตทรายงานอัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนอยู่ที่ระดับ -0.2% ในเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้มีการคาดการณ์ว่าECBจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ในการประชุมนโยบายในวันที่10 มีนาคม ซึ่งจะมีผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเป็นปัจจัยลบต่อทองคำ
ดังนั้น ประเมินแนวโน้มราคาทองคำโลกด้านเทคนิคว่าราคาทองยังอยู่ในช่วงพักฐานออกข้าง แต่เริ่มมีแรงกดดันการพักตัวลงเกิดขึ้นหลังราคาไม่สามารถผ่านยืนแนวต้านจุดสูงเดิมเพื่อสร้างแนวขึ้นรอบใหม่ ขณะที่ราคาเริ่มปรับลงมาต่ำกว่าแนวรับเส้น 5 วันอีกครั้ง ด้วยแนวเรียงตัวแท่งเทียนที่เป็นลบมากขึ้น บวกค่าสัญญาณ RSI เริ่มปรับลงจากสัญญาณ BEARISH DIVERGENCE ทำให้ราคามีโอกาสปรับลงรอบใหม่โดยให้แนวรับ 1,190-1,185 เหรียญต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน1,260-1,265 เหรียญต่อทรอยออนซ์