กรุงเทพฯ--7 มี.ค.--ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ผลการดำเนินงานของ บจ. mai ประจำปี 2558 มีกำไรสุทธิรวม 5,718 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 529 ล้านบาท หรือ 10.19% จากปีก่อนหน้า พบกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มทรัพยากร
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 118 บริษัท (จาก 122 บริษัท ไม่รวมบริษัทที่ส่งงบการเงินไม่ตรงตามกำหนด และบริษัทที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC) นำส่งผลการดำเนินงานประจำปี 2558 พบบริษัทที่มีกำไรสุทธิจำนวน 87 บริษัท คิดเป็น 74% ของ บจ. ที่ส่งงบการเงินทั้งหมด โดย บจ. mai มียอดขายรวม 124,826 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.79% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ต้นทุนรวมอยู่ที่ 94,453 ล้านบาท ลดลง 2.16% ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับเพิ่มขึ้นจาก 21.27% เป็น 24.33% และกำไรสุทธิรวมเพิ่มขึ้นเป็น 5,718 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 10.19%
"ภาพรวมผลการดำเนินงานของ บจ. mai ในปี 2558 ยังคงเติบโตจากปีก่อนหน้า โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานทดแทนที่เริ่มรับรู้รายได้จากการลงทุน มีการจำหน่ายไฟเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้น แต่ยังมี บจ. บางส่วนที่อยู่ระหว่างการขยายการลงทุนทำให้ค่าเสื่อมราคาและต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น หากมองตามกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่ามี 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ได้แก่ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มทรัพยากร" นายประพันธ์กล่าว
ทั้งนี้ พบ 8 บจ. ที่มีกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่อง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2556-2558 ได้แก่ บมจ. อัคคีปราการ (AKP) บมจ. แอร์โรว์ ซินดิเคท (ARROW) บมจ. บางกอก เดค-คอน (BKD)บมจ. พลังงานบริสุทธิ์ (EA) บมจ. อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) บมจ. แกรททิทูด อินฟินิท จำกัด (GIFT) บมจ. นิวพลัสนิตติ้ง (NPK) และ บมจ. โรงพยาบาลไทยนครินทร์ (TNH)
ปัจจุบันมี บจ. ใน mai 122 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 4 มีนาคม 2559) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 495.88 จุด ลดลง 5.12 % จากต้นปี มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 309,420 ล้านบาท อัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) อยู่ที่54.89 เท่า มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 1,334 ล้านบาทต่อวัน