กรุงเทพฯ--27 มี.ค.--ปุ๋ยแห่งชาติ
ปุ๋ยแห่งชาติ เล็งตลาดปุ๋ยธาตุอาหาร 2544 ขยายตัว 9.4% ชี้ไร่ข้าวโพดเพิ่มการใช้สูงสุด ส่วนนาข้าวขยาย 8.1% ปรับแผนรับโครงสร้างตลาดเปลี่ยน เผยผลประกอบการรายได้จากการขายเพิ่ม 85% และขาดทุนลดลง รายงานข่าวจากฝ่ายวิชาการเกษตร บมจ. ปุ๋ยแห่งชาติ (NFC) เปิดเผยถึงแนวโน้มปริมาณการใช้ปุ๋ยธาตุอาหารในฤดูการเกษตรปี 2544 รวมทุกสูตรมีปริมาณ 3.6 ล้านตัน จากปี 2543 มีปริมาณ 3.29 ล้านตัน ซึ่งขยายตัวจากปีที่ผ่านมา 9.4% โดยกลุ่มพืชที่มีอัตราการใช้ปุ๋ยเพิ่มขึ้นสูงสุดคือ ข้าวโพด ซึ่งมีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นสูงถึง 8.3% ส่วนกลุ่มพืชไร่อื่นๆ ได้แก่ มันสำปะหลัง ยาสูบ สับปะรด รวมถึง กาแฟ ปาล์มน้ำมัน และพืชผัก ที่มีอัตราการใช้ปุ๋ยเพิ่มขึ้นรวม 10% สำหรับข้าว ซึ่งมีปริมาณการปลูกมากที่สุด มีอัตราการเพิ่ม 8.1% อย่างไรก็ตาม กลุ่มพืชที่มีอัตราการใช้ปุ๋ยลดลงก็คือ ยางพารา ที่ลดลงถึง 20%
สาเหตุที่ปริมาณการขยายตัวโดยรวมของปริมาณการใช้ปุ๋ยธาตุอาหารในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็นผลจากในช่วงต้นปี 2544 การทำนาปรังในพื้นที่ชลประทาน มีแนวโน้มที่จะเพาะปลูกกันเต็มที่ เนื่องจากปริมาณน้ำมากทั้งในเขื่อน หรืออ่างเก็บน้ำหลายแห่งทั่วประเทศ รวมทั้งเกษตรกรมีอัตราเฉลี่ยการใช้ปุ๋ยทั่วประเทศต่อไร่เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยมีการคาดไว้
นอกจากนี้ด้านเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด คาดว่ามีการขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น ประมาณ 3 แสนไร่ ในช่วงฤดูการเกษตรปีนี้ จึงส่งผลให้มีปริมาณการใช้ปุ๋ยที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ด้านราคาผลผลิตข้าวโพดโดยรวม ก็มีแนวโน้มราคาที่สูงขึ้น
ส่วนด้านการใช้ปุ๋ยสำหรับยางพารา ที่มีปริมาณการใช้ลดลง 20% เป็นผลมาจากระยะที่ผ่านมาราคายางพาราปรับตัวลดลง จึงทำให้เกษตรกรผู้ปลูกลดปริมาณการใช้ปุ๋ยลง
อนึ่ง ผลประกอบการ บมจ. ปุ๋ยแห่งชาติ ปี 2543 ที่ผ่านมา มีรายได้ 4,288.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85 % จากปี 2542 ซึ่งมีรายได้ 2,318.84 ล้านบาท โดยมีผลการขาดทุน 1,682.93 ล้านบาท หรือขาดทุนต่อหุ้น 1.28 บาท ลดลงจากเดิมเมื่อปี 2542 ที่ผ่านมาขาดทุน 2,409.75 ล้านบาท หรือขาดทุนต่อหุ้น 4.45 บาท
สาเหตุที่บริษัทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการเพิ่มช่องทางจำหน่าย และการรักษามาตรฐานการผลิต ตลอดจนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและการโฆษณาสร้างภาพลักษณ์สินค้า จึงทำให้บริษัทฯ สามารถขายปุ๋ยรวมทุกสูตรทุกตราในปีที่ผ่านมาเป็นปริมาณ 872,000 ตัน จากเดิมปี 2542 มีปริมาณการขาย 410,000 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 122% นอกจากนี้ยังสามารถลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลงได้ในช่วงปีที่ผ่านมาด้วย อย่างไรก็ตามในเดือนมกราคม — กุมภาพันธ์ 2544 ที่ผ่านมา บริษัทฯยังสามารถทำยอดขายได้เป็นปริมาณรวม 90,000 ตัน แม้จะยังไม่ถึงฤดูการเพาะปลูกประจำปีก็ตาม
ส่วนผลการขาดทุนยังคงมีสาเหตุมาจากค่าใช้จ่ายและดอกเบี้ย เงินต้น และโดยเฉพาะปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบปรับสูงขึ้นจาก 16 เป็น 30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศปรับสูงขึ้น 38 บาทและ 43-44 บาท ทำให้มีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต เพราะวัตถุดิบหลักต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และเปลี่ยนแปลงไปตามราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ ในขณะที่ราคาปุ๋ยเคมียังถูกควบคุมไม่ให้ปรับขึ้นได้จากราชการ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ส่วนโฆษณาและประชาสัมพันธ์ โทร. 618-8100 ต่อ 2941, 2946--จบ--
-สส-