กรุงเทพฯ--10 มี.ค.--บลจ.กสิกรไทย
บลจ.กสิกรไทย เตรียมส่งกองทุนเปิดเค โกลบอล อินฟราสตรัคเจอร์ หุ้นทุน (K-GINFRA) เน้นกระจายลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกที่สร้างรายได้แน่นอน แต่ผันผวนต่อเศรษฐกิจต่ำ ลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท เสนอขายครั้งแรก 15-21 มีนาคมนี้
นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 15 - 21 มีนาคม 2559 บลจ.กสิกรไทย เตรียมเสนอขายกองทุนเปิดเค โกลบอล อินฟราสตรัคเจอร์ หุ้นทุน (K-GINFRA) โดยมีนโยบายลงทุนผ่านกองทุนหลัก Morgan Stanley Investment Funds Global Infrastructure, Class Z ซึ่งจะเน้นลงทุนในหุ้นรวมถึงทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก อาทิ การคมนาคมขนส่ง โทรคมนาคมสื่อสาร ระบบสาธารณูปโภค และพลังงาน ทั้งนี้กองทุนหลักดังกล่าวเป็นกองทุนที่ได้รับการจัดอันดับ 5 ดาวจากมอร์นิ่งสตาร์ และบริหารจัดการโดย Morgan Stanley Investment Management บริษัทจัดการกองทุนชั้นนำระดับโลกที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 40 ปี
นายนาวินกล่าวต่อไปว่า กองทุน K-GINFRA เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างผลกำไรในระยะยาว รวมถึงเปิดโอกาสในการเข้าลงทุนในธุรกิจที่มีรายได้ที่มั่นคง เนื่องจากธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศ และถือเป็นสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิต อาทิ ระบบไฟฟ้าประปา ก๊าซธรรมชาติ ระบบขนส่งมวลชน และระบบการสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ยังคงสามารถสร้างรายได้และทำกำไรได้แม้ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือในช่วงภาวะอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ เพราะผู้บริโภคยังมีความต้องการใช้สินค้าและบริการที่แน่นอนอยู่ตลอดเวลา ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานมีความผันผวนต่อภาวะเศรษฐกิจน้อยกว่าในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ
นอกจากนี้ผู้ลงทุนยังมีโอกาสได้รับกระแสรายได้ที่สม่ำเสมอต่อเนื่อง เนื่องจากบริษัทที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานส่วนใหญ่จะมีการทำสัญญาระยะยาวกับภาคเอกชนหรือได้รับสัมปทานจากภาครัฐเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน เช่น 10 ปีหรือ 20 ปีขึ้นไป เป็นต้น ส่งผลให้บริษัทมีรายได้ค่อนข้างแน่นอน จึงทำให้หุ้นในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานมีโอกาสจ่ายเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอ และมีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูงกว่าหุ้นโดยทั่วไปรวมถึงหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่การแข่งขันภายในอุตสาหกรรมมีค่อนข้างจำกัด เนื่องจากธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานต้องใช้เงินลงทุนสูงและมีขั้นตอนในการเจรจาทำสัญญากับหน่วยงานภาครัฐที่ซับซ้อน ทำให้มีผู้แข่งขันในธุรกิจน้อยราย ส่งผลดีในแง่การสร้างอำนาจต่อรองโดยเฉพาะโอกาสในการปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการในอนาคตด้วย
นายนาวินกล่าวเพิ่มเติมว่า "ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานยังเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยในช่วงระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา พบว่ามูลค่าตลาดของหุ้นในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกมีอัตราการเติบโตสูงกว่า 250% ขณะที่หุ้นทั่วโลกมีอัตราการเติบโตของมูลค่าตลาดเพียง 95% และยังให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 ดัชนีหุ้นในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกสามารถให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี สูงถึง 46% ขณะที่ดัชนีหุ้นทั่วโลกให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 27%"
กองทุน K-GINFRA มีจุดเด่นด้านการบริหารจัดการโดยผสมผสานการคัดเลือกหุ้นแบบ Bottom-up และใช้การวิเคราะห์ปัจจัยทางเศรษฐกิจแบบ Top-down ที่เน้นกระจายการลงทุนไปในหลากหลายอุตสาหกรรมในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน โดยให้น้ำหนักกับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีราคาถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง หรือมีแนวโน้มเติบโตที่ดี ทั้งนี้กองทุนหลักมีทีมงานบริหารและนักวิเคราะห์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐาน ส่งผลให้กองทุนหลักมีผลการดำเนินงานย้อนหลังที่ดี โดยให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 4.00% ต่อปี เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 3.86% ต่อปี ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ 8.27% ต่อปี เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 8.05% ต่อปี (ข้อมูลจาก Morningstar® ณ 1 มี.ค. 2559)
สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจกองทุนเปิดเค โกลบอล อินฟราสตรัคเจอร์ หุ้นทุน (K-GINFRA) สามารถเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 5,000 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถาม KAsset Contact Center 0 2673 3888
ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุน K-GINFRA ได้ที่ www.kasikornasset.com หรือ บลจ.กสิกรไทย หรือธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือขอข้อมูลดังกล่าวจากบุคคลที่เสนอขายกองทุนก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุน K-GINFRA ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ ทั้งนี้เนื่องจากกองทุนมิได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนจึงอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้