กรุงเทพฯ--11 มี.ค.--กลุ่มสารนิเทศการคลัง กระทรวงการคลัง
กรมบัญชีกลางขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) เพิ่มเติม จังหวัดละ 30 ล้านบาท รวมเป็นจังหวัดละ 50 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล
นางสาวอรนุช ไวนุสิทธิ์ รักษาการที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลางเปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) เพิ่มเติม จังหวัดละ 30 ล้านบาท ซึ่งจากเดิมกำหนดให้จังหวัดละ 20 ล้านบาท รวมเป็นจังหวัดละ 50 ล้านบาท เพื่อใช้ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติที่ได้รับผลกระทบต่อชีวิต ทรัพย์สิน และความเป็นอยู่ ทั้งนี้ การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยใช้จ่ายจากเงินทดรองราชการจะต้องมีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมกับคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด หรือ ก.ช.ภ.จ. และเมื่อ ก.ช.ภ.จ. สำรวจความเสียหายในพื้นที่ที่รับผิดชอบเรียบร้อยแล้ว จะเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาอนุมัติค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ได้รับความเดือดร้อน และเมื่อได้ช่วยเหลือแล้ว จังหวัดต้องส่งเอกสารต่าง ๆ ให้กรมบัญชีกลาง เพื่อขอเบิกเงินงบประมาณชดใช้เงินทดรองราชการ ซึ่งวงเงินเดิม 20 ล้านบาทอาจใช้จ่ายหมุนเวียนไม่เพียงพอ
โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า การขยายวงเงินทดรองราชการ เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในครั้งนี้ขยายให้ทุกจังหวัด ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อให้จังหวัดมีความคล่องตัวในการใช้จ่ายเงิน สามารถช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทั่วถึง และบรรเทาความเดือดร้อนด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการดำรงชีพ การบรรเทาสาธารณภัย การแพทย์และการสาธารณสุข และการปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย เช่น ค่าจัดซื้อหรือจัดหาน้ำสำหรับบริโภคหรือใช้สอยในที่อยู่อาศัย จัดหาภาชนะรองรับน้ำ และค่าน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะเพื่อใช้ในการนำรถบรรทุกน้ำออกแจกจ่ายให้ประชาชนในพื้นที่ที่ประสบภัยแล้ง เป็นต้น
"การขยายวงเงินทดรองราชการเพิ่มอีก 30 ล้านบาท มีเป้าหมายให้ทุกจังหวัดให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยแล้งได้อย่างรวดเร็ว คล่องตัว และมีเงินเพียงพอกับการใช้จ่ายในช่วงเวลาวิกฤต ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศได้อย่างทันท่วงที รวมถึงเป็นการตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการบูรณาการการป้องกันผลกระทบในวงกว้าง" นางสาวอรนุช กล่าว