กรุงเทพฯ--15 มี.ค.--กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานมีจังหวัดประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) จำนวน 14 จังหวัด พร้อมประสานจังหวัดสำรวจปริมาณน้ำต้นทุน ประเมินและจัดระดับความรุนแรงของสถานการณ์ภัยแล้ง เพื่อกำหนดโซนนิ่งการช่วยเหลือได้อย่างชัดเจนวางแผนจัดหาแหล่งน้ำสำรอง และมาตรการรองรับกรณีแหล่งน้ำดิบขาดแคลนรวมถึงใช้กลไก "ประชารัฐ" ในการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความจำเป็นในการควบคุมกิจกรรมการใช้น้ำ พร้อมทั้งจัดทำประชาคมกำหนดกติกาการใช้น้ำไว้ล่วงหน้าเพื่อจัดสรรการใช้น้ำอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ตลอดจนรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำให้เหมาะสม โดยวางแผนการใช้น้ำที่มีปริมาณจำกัดให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์ภัยแล้งหลายพื้นที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำมากขึ้น โดยปัจจุบันมีจังหวัดประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) จำนวน 14 จังหวัด 58 อำเภอ 276 ตำบล 2,361 หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ 3.15ของจำนวนหมู่บ้านทั่วประเทศ แยกเป็น ภาคเหนือ 5 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ อุตรดิตถ์ พะเยา สุโขทัย และนครสวรรค์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา นครพนม มหาสารคาม และบุรีรัมย์ ภาคกลาง 2 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี และเพชรบุรี ภาคตะวันออก 3 จังหวัด ได้แก่ สระแก้ว จันทบุรี และชลบุรี รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ห่วงใยประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ภัยแล้ง จึงได้สั่งการให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประสานจังหวัดและหน่วยงานทุกภาคส่วนเร่งแก้ไขปัญหาภัยแล้ง โดยดำเนินการสำรวจปริมาณน้ำต้นทุนในพื้นที่ พร้อมประเมินและจัดระดับความรุนแรงของสถานการณ์ภัยแล้ง เพื่อกำหนดโซนนิ่งการช่วยเหลือได้อย่างชัดเจนและสอดคล้องกับสภาพปัญหา รวมถึงวางแผนจัดหาแหล่งน้ำสำรอง และมาตรการรองรับกรณีแหล่งน้ำดิบไม่เพียงพอต่อการผลิตน้ำประปา เพื่ออุปโภคบริโภค จัดหาเครื่องสูบน้ำ และรถบรรทุกน้ำให้บริการเติมน้ำใส่ถังน้ำกลางประจำหมู่บ้านในพื้นที่ประสบภัยแล้ง ตลอดจนประสานโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่สนับสนุนการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง โดยนำน้ำทิ้งที่ผ่านกระบวนการบำบัด ตามมาตรฐานจนมีคุณภาพตามที่กำหนดมาระบายให้เกษตรกรนำไปใช้ในการเพาะปลูกและทำการเกษตร นอกจากนี้ ให้จังหวัดใช้กลไก "ประชารัฐ" ในการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำ ความจำเป็นในการควบคุมกิจกรรมการใช้น้ำ ของภาครัฐ พร้อมบูรณาการฝ่ายพลเรือนและหน่วยทหารเฝ้าระวังบริเวณจุดเสี่ยงที่มักมีการลักลอบสูบน้ำและเกิดปัญหา แย่งน้ำ พร้อมจัดทำประชาคมกำหนดกติกาการใช้น้ำไว้ล่วงหน้า เพื่อจัดสรรการใช้น้ำอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมกรณีมีการลักลอบสูบน้ำ กั้นน้ำ และปัญหาแย่งน้ำของประชาชนในพื้นที่ ให้ใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 ในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นไปด้วยความรวดเร็ว รวมถึงรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำให้เหมาะสม โดยวางแผนการใช้น้ำที่มีปริมาณจำกัดให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยเฉพาะเกษตรกรให้ปรับ วิถีทำการเกษตรให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำ ทั้งนี้ เพื่อให้การใช้น้ำเป็นไปตามแผนการจัดสรรน้ำที่ภาครัฐกำหนด ซึ่งจะทำให้ มีน้ำอุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศเพียงพอตลอดช่วงฤดูแล้ง
0-2243-0674 0-2243-2200 www.disaster.go.th