กรุงเทพฯ--14 พ.ย.--ททท.
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ปรับแผนการตลาดฉุกเฉินเพื่อลดผลกระทบจากวิกฤติการณ์การสู่รบสหรัฐอเมริกาและอัฟกานิส โดยลดจำนวนนักท่องเที่ยวลงจากเป้าหมาย 10.3 ล้านคน เป็น 9.53 ล้านคน ในขณะที่มุ่งเพิ่มรายได้จากเดิม 285,272 ล้านบาท เป็น 296,218 ล้านบาท
แนวทางดังกล่าวจะดำเนินแผนการตลาดฉุกเฉินโดยใช้กลยุทธ์การตลาด เน้นการสร้างการขายในระยะสั้นในกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศจัดแพ็คเกจนำเที่ยวส่งเสริมการขายในระยะสั้นในกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศจัดแพ็คเกจนำเที่ยวส่งเสริมการขายเฉพาะช่วงเวลา เป็นการสร้างคุณค่าเพิ่มให้ตรงตามความต้องการของตลาดที่เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายย่อย(นีช มาร์เก็ต) อาทิ ตลาดคนทำงานที่ต้องการพักผ่อน ตลาดคู่แต่งงาน ตลาดกอล์ฟ ตลาดผู้สูงอายุเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ ตลาดลองสเตย์ ตลาดช็อปปิ้ง ทั้งนี้รูปแบบการขายจะจัดเป็นแพ็คเกจทัวร์ระยะสั้นที่เหมาะสมตามแต่ละตลาด เสนอบริการด้านสปาอย่างครบวงจรบริการใช้สมุนไพร อาหารชีวจิต การจัดซิตี้ทัวร์ ทัวร์กึ่งผจญภัย ทัวร์เกษตร คาราวาน แรลลี่ ขับรถเที่ยว แถมด้วยรายการช็อปปิ้ง เพื่อส่งเสริมการสร้างรายได้และขยายผลโครงการช็อปปิ้ง พาราไดซ์/ช็อปปิ้ง สตรีท
สำหรับกลุ่มเป้าหมายจะประกอบด้วยนักท่องเที่ยวในแถบประเทศที่มีระยะการเดินทางใกล้อยู่ห่างไกลจากสถานการณ์รบ และกลุ่มประเทศที่หยุดเดินทางไปท่องเที่ยวในอเมริกา หรือ พื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะ ญี่ปุ่น ที่มักนิยมเดินทางไปฮาวาย หมู่เกาะกวม กลุ่มยุโรป รวมทั้งจากภูมิภาคเอเชีย โอเชียเนีย ได้แก่ รัสเซีย จีน เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง สิงค์โปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย ซึ่งคาดว่าแผนการตลาดฉุกเฉินนี้จะช่วยชะลอผลกระทบของนักท่องเที่ยวลดลงเหลือ 25-30 เปอร์เซ็นต์ และในอนาคตข้างหน้าเมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง หากต้องการที่จะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจาก 9.53 ล้านคนเป็น 10.05 ล้านคน และทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 20,305 ล้านบาท จะต้องใช้เงินลงทุนเพิ่ม 2,450 ล้านบาท ในการที่จะชักชวนนักท่องเที่ยวที่ยกเลิกการเดินทางไปสหรัฐอเมริกา ให้หันมาท่องเที่ยวในประเทศไทยแทน
ทั้งนี้ประเทศไทยยังคงได้ประโยชน์จากผลการรณรงค์ส่งเสริมปีอะเมซิ่งไทยแลนด์ ทำให้ประเทศไทยได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก ในแง่ความโดดเด่นของเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนเป็นประเทศที่ห่างจากสงคราม เป็นเมืองพุทธ ประชากรไม่มีปัญหาด้านเชื้อชาติและศาสนา อีกทั้งในระยะ 3-6 เดือนข้างหน้าก็จะเข้าสู่ฤดูการท่องเที่ยวของไทย ดังนั้นประเทศไทยจะต้องพยายามรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และรักษาความได้เปรียบของราคาค่าใช้จ่ายจากการท่องเที่ยวเอาไว้ นอกจากนี้แล้วภาพลักษณ์ของประเทศมีส่วนสำคัญอย่างมากที่จะเป็นการสร้างความมั่นใจในการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยได้อย่างไร้กังวล โดยชี้วัดได้จากการที่ประเทศไทย ยังคงได้รับความไว้วางใจจากตลาดไมซ์ ให้เป็นประเทศจุดหมายปลายทางในการจัดประชุม สัมมนาในเวทีใหญ่ๆ ระดับโลก อาทิ การประชุมวิชาการสมาพันธ์กายภาพบำบัดแห่งเอเชียครั้งที่ 8 ในเดือน พฤศจิกายน 2545 การประชุมวิชาการนานาชาติด้านแพทย์ระบบทางเดินอาหารในปี พ.ศ.2545 การประชุมวิชาการนานาชาติด้านปฐพีวิทยา ครั้งที่ 17 ในปี พ.ศ. 2545 การประชุมลูกเสือครั้งที่ 20 ในปลายปี พ.ศ. 2545 รวมถึงการจัดประชุมใหญ่ของสมาชิกตระกูลเล้าแห่งโลก ครั้งที่ 3 ในปีนี้
ในโอกาสนี้นางจุฑามาศ ศิริวรรณ รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ฝ่ายการตลาด ได้เปิดเผยถึงการจัดประชุมใหญ่ของสมาชิกตระกูลเล้าแห่งโลก ครั้งที่ 3 จะมีขึ้นตั้งแต่วันที่ 2-3 พฤศจิกายน 2544 ณ ศูนย์การประชุมและแสดงสินค้าไบเทค ซึ่ง ททท. ได้ร่วมสนับสนุนเนื่องจากการจัดประชุมครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นในประเทศไทยโดยมูลนิธิตระกูลเล้าแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ และมีสมาชิกในตระกูลเล้าจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมกว่า 4,000 คน เดินทางเข้ามาร่วมประชุม ในจำนวนดังกล่าวมีทั้งที่เดินทางมาล่วงหน้า และอยู่พักผ่อนท่องเที่ยวต่อในประเทศไทย จึงเป็นโอกาสดีที่ไทยจะได้รับประโยชน์ทางตรงจากค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นแล้ว ยังเกิดประโยชน์ทางอ้อมให้ตลาดต่างประเทศได้รับทราบว่าประเทศไทยยังคงมีความพร้อม ความปลอดภัยและบรรยากาศทางการท่องเที่ยว--จบ--
-นห-