กรุงเทพฯ--23 มี.ค.--MMM Digital Asset
"Batman v Superman: Dawn of Justice" เป็นผลงานจากผู้กำกับ แซ็ค สไนเดอร์ แสดงโดยผู้ชนะรางวัลออสการ์ เบน แอฟเฟล็ก ("Argo") ในบทแบทแมน/บรูซ เวย์น และเฮนรี คาวิลล์ ในบทซูเปอร์แมน/คลาร์ก เคนต์ โดยนับเป็นครั้งแรกที่ตัวละครทั้งสองได้โคจรมาพบกันบนจอภาพยนตร์
ด้วยเกรงว่าการกระทำของซูเปอร์ฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่ดุจเทพเจ้าจะไม่ได้รับการตรวจสอบ บุรุษผู้ลงทัณฑ์อาชญากรแห่งเมืองก็อธแธมจึงออกมาเผชิญหน้ากับผู้กอบกู้โลกแห่งเมโทรโพลิส พร้อมกับที่โลกยังคงตั้งคำถามว่าเราต้องการฮีโร่แบบไหน และเมื่อแบทแมนกับซูเปอร์แมนก่อสงครามกัน ภัยคุกคามใหม่ก็ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำให้มนุษยชาติตกอยู่ในอันตรายอันใหญ่หลวงยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา
ภาพยนตร์ที่กำกับโดยแซ็ค สไนเดอร์เรื่องนี้ ร่วมแสดงโดยผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ เอมี อดัมส์ ("American Hustle") ในบทโลอิส เลน, เจสซี ไอเซนเบิร์ก ("The Social Network") เป็นเล็กซ์ ลูเธอร์, ไดแอน เลน ("Unfaithful") เป็นมาร์ธา เคนต์ และลอเรนซ์ ฟิชเบิร์น ("What's Love Got to Do with It") เป็นเพอร์รี ไวท์, ผู้ชนะรางวัลออสการ์ เจเรมี ไอออนส์ ("Reversal of Fortune") เป็นอัลเฟรด, ฮอลลี ฮันเตอร์ ("The Piano") เป็นวุฒิสมาชิกฟินช์ และกัล กาด็อต เป็นวันเดอร์วูแมน/ไดอานา พรินซ์
สไนเดอร์กำกับผลงานเรื่องนี้จากบทภาพยนตร์โดยคริส เทอร์ริโอและเดวิด เอส โกเยอร์ จากตัวละครของ DC Comics อันได้แก่ แบทแมน ผลงานของบ็อบ เคนและบิลล์ ฟิงเกอร์ และซูเปอร์แมน ผลงานของเจอร์รี ซีเกลและโจ ชัสเตอร์ หนังเรื่องนี้อำนวยการสร้างโดยชาร์ลส์ โรเวนและเดโบราห์ สไนเดอร์ โดยมีเวสลีย์ คอลเลอร์, จอฟ จอห์นส์ และเดวิด เอส โกเยอร์ ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหาร
ทีมงานเบื้องหลังของสไนเดอร์ ได้แก่ ผู้กำกับภาพ แลร์รี ฟง ("300", "Watchmen") และนักออกแบบงานสร้าง แพทริค ทาโทพูลอส ("300: Rise of an Empire") รวมถึงทีมงานจาก "Man of Steel" อันได้แก่ มือตัดต่อ เดวิด เบรนเนอร์, นักออกแบบเครื่องแต่งกาย ไมเคิล วิลคินสัน, ผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟ็กต์ จอห์น "ดีเจ" เดส์ชาร์แดง และนักแต่งเพลงผู้ชนะรางวัลออสการ์ ฮานส์ ซิมเมอร์ ("The Lion King") โดยทำงานร่วมกับนักแต่งเพลง จังคี เอ็กซ์แอล ("Mad Max: Fury Road")
Warner Bros. Pictures ขอเสนอผลงานการสร้างของ Atlas Entertainment/Cruel และ Unusual ผลงานการกำกับของแซ็ค สไนเดอร์ เรื่อง "Batman v Superman: Dawn of Justice" ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายตามโรงภาพยนตร์ระบบ IMAX, Dolby Cinema รวมถึงโรงภาพยนตร์ระบบสามมิติและสองมิติทั่วโลก โดย Warner Bros. Pictures บริษัทในเครือ Warner Bros. Entertainment
batmanvsupermandawnofjustice.net
การต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
เมื่อบุตรแห่งดาวคริปตันปะทะค้างคาวแห่งก็อธแธม!
ใครจะเป็นฝ่ายชนะ
แบทแมนและซูเปอร์แมน ก็อธแธมและเมโทรโพลิส เล็กซ์ ลูเธอร์, ดูมส์เดย์ และครั้งแรกบนจอภาพยนตร์ของ วันเดอร์วูแมน ด้วยการรวมสุดยอดฮีโร่และวายร้าย รวมถึงการต่อสู้ที่ดุเดือดและมีเดิมพันสูงยิ่งกว่าการทำลายล้างโลก "Batman v Superman: Dawn of Justice" ของแซ็ค สไนเดอร์นับเป็นการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ของซูเปอร์ฮีโร่ยิ่งกว่าที่ผ่านๆ มา
ลองจับฮีโร่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกสองคนมาปะทะกัน ผลลัพธ์ที่ไม่อาจเลี่ยงก็คือสิ่งที่เกินจินตนาการในรูปของการเผชิญหน้าที่สร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างแท้จริง แบทแมน ฮีโร่ผู้พิพากษาคนชั่วและอัศวินในเงามืด กับซูเปอร์แมน มนุษย์ต่างดาวเหาะได้ซึ่งไร้ผู้พิชิต ใครกันที่จะเป็นผู้ชนะในสงครามครั้งนี้
เวลาผ่านไปเกือบสองปีนับตั้งแต่เมโทรโพลิสต้องเจ็บปวดจากการต่อสู้ที่ไม่เคยปรากฏขึ้นบนโลก ผู้คนมากมายได้รับการปกป้อง แต่ชายคนหนึ่งไม่อาจลืมชีวิตที่ต้องสูญเสียไปจากการทำลายล้างครั้งนั้น ถึงตอนนี้บรูซ เวย์นใช้ชีวิตอยู่กับความโกรธแค้นที่คุกรุ่นซึ่งบ่มเพาะกลายเป็นความรู้สึกไร้พลัง ความรู้สึกที่เปลี่ยนคนดีให้กลายเป็นนักรบผู้เคียดแค้น ที่จริงแล้วฝันร้ายเช่นนี้เองที่ผลักดันให้แบทแมนทิ้งรอยแค้นไว้กับเหล่าอาชญากรในก็อธแธม แม้เมื่อเขาละสายตาไปหาเป้าหมายที่ใหญ่กว่า
ผู้กำกับ แซ็ค สไนเดอร์ กล่าวว่า "เรามองว่าเราสามารถเริ่มต้นเรื่องราวนี้ให้น่าสนใจด้วยการสำรวจซูเปอร์แมนจากอีกมุมมองหนึ่ง นั่นคือมุมมองของแบทแมน บรูซไม่รู้ว่าซูเปอร์แมนเป็นใคร เขารู้พอๆ กับคนอื่นๆ เขาโทษซูเปอร์แมนว่าเป็นต้นเหตุให้ผู้คนในเมโทรโพลิสต้องสูญเสียชีวิต เป็นชีวิตที่เขารู้สึกว่าต้องรับผิดชอบด้วย เขาจึงเริ่มก่อความเกลียดชังขึ้นภายใน และเมื่อเวลาผ่านไป เขาก็พบว่าความรู้สึกนั้นได้รับแรงสนับสนุนจากสื่อมวลชน"
สองปีที่ผ่านมาซูเปอร์แมนคอยช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้ายจำนวนมหาศาลทั่วโลก และคนทั้งโลกต่างก็ชื่นชมในพลังอันยิ่งใหญ่ดุจเทพเจ้านี้ แต่เมื่อการทำลายล้างอันไม่อาจหลีกเลี่ยงปรากฏขึ้นพร้อมกับการทำความดี ในที่สุดความเสียหายข้างเคียงที่เกิดขึ้นก็ทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามกับคนที่มองเห็นแต่สิ่งที่ซูเปอร์แมนทำได้ โดยไม่เคยหยิบยกประเด็นขึ้นมาเลยว่าเขาควรทำหรือไม่ ซูเปอร์แมนเองก็เริ่มถามคำถามนี้กับตัวเองด้วยซ้ำ เมื่อได้พบเล่ห์เพทุบายจากบุคคลผู้ช่ำชองและหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องทำให้เขาอับอาย...และป่นปี้
"ในตอนเปิดเรื่องเราจะได้เห็นซูเปอร์แมนจัดการกับชีวิตประจำวันของซูเปอร์ฮีโร่ แต่ผู้คนกลับมีมุมมองที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดต่อการกระทำอันกล้าหาญของเขา ทั้งนี้ก็เพราะผลสืบเนื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ" สไนเดอร์กล่าวต่อ "การกระทำทุกครั้งนำไปสู่ปฏิกิริยาตอบสนอง การช่วยชีวิตคนคนหนึ่งอาจทำให้อีกคนหนึ่งต้องทนทุกข์ เราต้องการสำรวจความเป็นจริงของการช่วยชีวิตผู้คน และความหมายของการยื่นมือเข้ามาแทรกแซงสิ่งต่างๆ แนวคิดดั้งเดิมสำหรับซูเปอร์แมนคือเขาเป็นคนดีซึ่งพยายามทำสิ่งที่ถูกต้องและเขาก็ไม่ได้มีนัยทางการเมือง แต่ในความเป็นจริง ในโลกปัจจุบันนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่แสดงออกทางการเมือง ไม่ว่าคุณจะมีจุดประสงค์อย่างไรก็ตาม"
เบน แอฟเฟล็กรับบทเป็นบรูซ เวย์น/แบทแมน ผู้คอยติดตามข่าวเรื่องซูเปอร์แมนอย่างใกล้ชิดนับตั้งแต่เหตุการณ์ซึ่งเรียกกันว่าแบล็ค ซีโร่ หรือบทสรุปของการต่อสู้ล้างผลาญระหว่างซูเปอร์แมนกับนายพลซ็อด "ผมคิดว่าเนื้อเรื่องช่วยจัดฉากให้เราเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าทำไมแบทแมนจึงอยากสู้กับซูเปอร์แมน" เขากล่าว "ก็สมเหตุสมผลดีถ้าจะสันนิษฐานว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนกันเพราะทั้งคู่ต่างก็เป็นคนดี แต่หนังเรื่องนี้นำเสนอมุมมองที่ละเอียดอ่อนมากยิ่งขึ้นว่าตัวละครเหล่านี้จะดำรงอยู่อย่างไรในโลกแห่งความเป็นจริง ความสามารถและการกระทำของทั้งสองอาจนำไปสู่ความยุ่งยากอย่างไรได้บ้าง"
"ซูเปอร์แมนเริ่มเผชิญหน้ากับความท้าทายอย่างที่โจนาธาน เคนต์เคยกังวล" เฮนรี คาวิลล์ตั้งข้อสังเกต เขากลับมารับบบทเป็นคลาร์ก เคนต์และบุรุษเหล็กอีกครั้ง "โลกเต็มไปด้วยความหวาดกลัวหลังจากถูกโจมตีโดยมนุษย์ต่างดาวและสั่นสะเทือนถึงแก่นตามความหมายตรงตัว ถึงจะมีผู้ที่ช่วยกอบกู้โลกมาได้ แต่ผู้คนก็จำต้องเล็งเป้าความกลัวของตนไปยังบางสิ่งบางอย่าง ระหว่างนั้นซูเปอร์แมนยังคงพยายามทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของทุกๆ คนและไม่สนใจเสียงนกเสียงกา"
แต่คงยากที่เขาจะไม่สนใจเสียงวิจารณ์บางเสียง ถ้าบรูซ เวย์น ในฐานะแบทแมน ตั้งใจออกโรงแก้แค้นซูเปอร์แมน แล้วอะไรคือเหตุผลที่เพื่อนนักธุรกิจอย่างเล็กซ์ ลูเธอร์ จ้องบ่อนทำลาย "ฮีโร่ผ้าคลุมแดง" รายนี้
มือเขียนบท คริส เทอร์ริโอ ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า "ทั้งบรูซและเล็กซ์เป็นเศรษฐีพันล้าน ทั้งคู่เป็นเด็กกำพร้า และทั้งคู่ต่างหมกมุ่นกับพลังมหาศาลของซูเปอร์แมน ณ จุดหนึ่งทั้งคู่มีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการหยุดยั้งซูเปอร์แมนไม่ว่าจะต้องทุ่มเทมากแค่ไหน แต่แรงจูงใจของบรูซนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง ขณะที่แรงจูงใจของเล็กซ์เป็นความคิดที่ผิดเพี้ยน"
ชายทั้งสามคน คลาร์ก บรูซ และเล็กซ์ ล้วนเป็นผลผลิตจากมรดกที่พ่อของตนทิ้งไว้ให้หรือความทรงจำเกี่ยวกับพ่อผู้จากไป อันเป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่ได้รับการสำรวจในเรื่องนี้ แต่ละคนต่อสู้ดิ้นรนในแบบของตนเอง บรูซ ซึ่งตอนนี้อายุมากกว่าพ่อของตัวเองแล้ว คลาร์กผู้ผดุงความถูกต้องเพื่อวิญญาณของผู้ที่จากไป และเล็กซ์ ซึ่งความสัมพันธ์กับพ่อไม่ค่อยจะดีนัก
"เล็กซ์ ลูเธอร์ เป็นสุดยอดตัวร้ายของค่าย DC และเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในเรื่องราวฉบับทางการก็คือตอนที่แบทแมนกับซูเปอร์แมนประจันหน้ากัน" ผู้อำนวยการสร้าง ชาร์ลส์ โรเวน กล่าว "ในเมื่อหนังเรื่องนี้ได้ขยายจักรวาลของเรื่องราวออกไป เราจึงรู้สึกว่าการนำตัวละครเหล่านี้มารวมกันเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เมโทรโพลิสจำเป็นต้องสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ เล็กซ์เป็นผู้สนับสนุนทางการเงินคนสำคัญของเมือง แล้วเขากับบรูซ เวย์นก็มีกิจการที่ใกล้เคียงกันในด้านอุตสาหกรรมการผลิตและโลกดิจิตัล"
ทีมผู้สร้างมองว่าหลังจากเหตุการณ์ในตอนท้ายของหนังเรื่องก่อน จึงเป็นไปได้ที่บรูซและเล็กซ์จะพุ่งเป้าความโกรธแค้นมาหาซูเปอร์แมน
มือเขียนบท เดวิด เอส โกเยอร์ ระบุว่า "หนังซูเปอร์ฮีโร่มักเกิดขึ้นในสุญญากาศ เกิดความเสียหายรุนแรงขึ้นแล้วทุกคนก็แค่กลับไปใช้ชีวิตของตัวเองเหมือนเดิม แต่เรามองว่าเหตุการณ์นั้นอาจทิ้งรอยแผลไว้ไม่เพียงกับเมืองหรือประเทศนั้นๆ แต่เป็นโลกทั้งใบ ตัวซูเปอร์แมนนั้นไม่ได้ตั้งใจ แต่ผู้คนมากมายก็เริ่มรู้สึกกลัวในเวลาต่อมา นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้บรูซเริ่มสงสัยในตัวเขา เล็กซ์ใช้รอยร้าวหรือความไม่ไว้วางใจที่เพิ่งก่อตัวขึ้นในหมู่สาธารณชนเพื่อสร้างความร้าวฉานขึ้นมา"
"เราได้ซ่อนความลับไว้ในภาคก่อน มีรถบรรทุกของ LexCorp อยู่ในถนนเมืองเมโทรโพลิส และดาวเทียมของ Wayne Industries ก็ลอยอยู่ด้านบน" โรเวนเสริม "เราจึงไปยังจุดที่เรามองว่าเนื้อเรื่องและตัวละครสามารถนำเราไปได้"
การถ่ายทอดภาพแบทแมนและลูเธอร์ให้เป็นธรรมชาติในโลกที่สร้างขึ้นมาใหม่ของซูเปอร์แมนนั้นต้องอาศัยการดูแลอย่างระมัดระวัง "ทุกคนต้องการเห็นแบทแมนและซูเปอร์แมนในหนังเรื่องเดียวกัน และอยากเห็นสองคนนี้สู้กันด้วย" ผู้อำนวยการสร้าง เดโบราห์ สไนเดอร์กล่าว "แฟนคอมิกทุกคนตื่นเต้นดีใจกับเรื่องนี้ และแซ็คก็ไม่ได้เป็นแค่ผู้กำกับแต่ยังเป็นแฟนคอมิกพันธุ์แท้ด้วย"
เนื่องจากซูเปอร์ฮีโร่ทั้งสองรวมถึงลูเธอร์ปรากฏตัวในงานคอมิกมากว่าเจ็ดทศวรรษ จึงมีแหล่งข้อมูลมหาศาลให้ใช้หาไอเดีย "เราต้องการนำเสนอแบทแมนในแบบที่ไม่เคยมีใครเห็นในหนังมาก่อน" เธอกล่าวต่อ "เป็นคนที่รับหน้าที่นี้มานานจนเชี่ยวชาญ แต่อาจนานเกินไปจนเหนื่อยหน่าย ถ้าต้องต่อสู้กับอาชญากรรมมาตลอดเหมือนอย่างแบทแมน ลองคิดดูสิว่าเมื่อเวลาผ่านไปมันจะส่งผลกระทบต่อร่างกายคุณและต่อจิตใจคุณอย่างไร"
เช่นเดียวกัน เพื่อถ่ายทอดภาพของเล็กซ์ ลูเธอร์ในปี 2016 เทอร์ริโอกลับมาถามตัวเองว่า "นายทุนสติเฟื่องจะมีภาพลักษณ์เป็นอย่างไรในยุคนี้" หลังมองหาแรงบันดาลใจจากองค์กรด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่หลายแห่งในโลก เขาก็ได้พบสภาพแวดล้อมซึ่ง "บ่มเพาะความแปลกประหลาดราวกับว่าเป็นสิ่งดีงามและยกย่องนวัตกรรมนอกกรอบ" เมื่อนำคุณสมบัติเหล่านี้มารวมเข้ากับสภาพจิตที่บอบช้ำ เขาจึงจินตนาการว่าเล็กซ์เป็น "ตัวร้ายยุคโพสต์โมเดิร์นที่เป็นคนหนุ่ม ฉลาด และตระหนักในความร้ายกาจของตัวเอง เขาเลือกใช้ความร่ำรวยและอำนาจของตนเพื่อล้มคนที่ดูเหมือนมีพลังไร้ขีดจำกัด"
ทีมผู้สร้างไม่เพียงนำโลกของแบทแมนและซูเปอร์แมนมารวมกันในภาพยนตร์เป็นครั้งแรก แต่ยังได้นำสถานที่ต่างๆ ตามเนื้อเรื่องมารวมเข้าด้วยกัน แน่นอนว่าเมื่อมีแบทแมนก็ต้องมีถ้ำค้างคาว มียานพาหนะสุดเท่ที่ช่วยพรางตัวอย่างแบทโมบิลและแบทวิง รวมถึงคลังอาวุธที่เขาสร้างขึ้นมาเอง ในแง่ภูมิศาสตร์นั้น ก็อธแธมกับเมโทรโพลิสได้รับการจินตนาการใหม่ให้กลายเป็นเมืองพี่เมืองน้องที่เป็นศัตรูคู่แข่งกัน โดยมีเพียงน่านน้ำเล็กๆ กั้นกลาง ช่วยให้เหตุการณ์เกิดขึ้นภายในพื้นที่ของฮีโร่ทั้งสอง แต่ผู้ที่ไม่ได้เป็นประชากรของทั้งสองเมืองและมาพร้อมกับเครื่องมือเฉพาะของเธอเองได้มาปรากฏตัวและสร้างความประทับใจอันยากจะลืมเลือน เธอคือวันเดอร์วูแมน
"เมื่อได้แบทแมนมาอยู่ในเรื่องแล้ว ผมก็คิดขึ้นมาว่า 'จะเพี้ยนไปรึเปล่านะถ้านำวันเดอร์วูแมนเข้ามาด้วย'" แซ็ค สไนเดอร์เล่า "สำหรับผมซึ่งเป็นแฟนมานาน ซูเปอร์แมน แบทแมน และวันเดอร์วูแมนเป็นตัวละครสามตัวหลักในคอมิก และผมรู้ว่าผู้ชมอยากดูวันเดอร์วูแมนมาก ผมว่าคงเยี่ยมเลยถ้าได้ใส่เธอเข้ามาด้วยเพื่อนำตัวละครเข้ามาในโลกใบนี้"
แม้ว่านักรบแอมะซอนรายนี้จะปรากฏตัวเพียงสั้นๆ แต่เธอก็เข้ามาได้จังหวะพอดีและสร้างความประหลาดใจให้ชายทั้งสอง กัล กาด็อต รับบทบาทนี้ในหนังและเป็นส่วนหนึ่งในทีมนักแสดงหญิงอันทรงพลังผู้มารับบทเป็นตัวละครหญิงที่แข็งแกร่งไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นเอมี อดัมส์ ซึ่งกลับมารับบทนักข่าว โลอิส เลน, ไดแอน เลน กลับมารับบทเป็นมาร์ธา เคนต์ และฮอลลี ฮันเตอร์ เป็นวุฒิสมาชิกเจน ฟินช์ ผู้ยืนหยัดประจันหน้ากับซูเปอร์แมนและเล็กซ์ ลูเธอร์
เจสซี ไอเซนเบิร์ก ใส่ความมั่นใจแบบบ้าคลั่งลงไปในตัวลูเธอร์ ขณะที่เจเรมี ไอออนส์ รักษาความสุขุมนุ่มลึกและดูแลอุปกรณ์ไฮเทคของแบทแมนได้อย่างคล่องแคล่วในบทอัลเฟรด คู่หูมาดนิ่งที่มาจับคู่กับบุคลิกหมกมุ่นครุ่นคิดของบรูซ เวย์น และลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์นก็กลับมารับบทเพอร์รี ไวท์ บรรณาธิการผู้จริงจังของ Daily Planet ซึ่งคอยดูแลให้โลอิส เลน ทำภารกิจ พร้อมกับคอยจับตามองคลาร์ก เคนต์
ที่จริงแล้วแม้ว่าเพอร์รีคัดค้านอย่างหนักแน่น แต่คลาร์กกำลังตามข่าวจากอีกฟากอ่าวในเมืองก็อธแธมเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของแบทแมน โดยไม่รู้ว่าคนที่เขาต้องการเปิดโปงนั้นแอบไล่ล่าตัวเองอยู่ เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลดละ และด้วยแผนของเล็กซ์ ลูเธอร์ที่จะนำซูเปอร์แมนไปสู่เส้นทางอันตราย ซูเปอร์ฮีโร่ทั้งสองจะก้าวข้ามความแตกต่างแล้วมาเผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่กว่าได้หรือไม่
เขามีพลังมากพอที่จะกวาดล้างมนุษยชาติ
ถ้าเราเชื่อว่ามีโอกาสแม้เพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่เขาจะเป็นศัตรูของเรา
เราก็ต้องคิดเหมือนกับว่ามันแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์
—บรูซ เวย์น
>>นำสุดยอดตำนานมารวมตัวกัน<<
ในการพัฒนาเนื้อเรื่องของ "Batman v Superman: Dawn of Justice" มีคำถามเกิดขึ้นว่าคนแบบซูเปอร์แมนสามารถมีอยู่จริงในยุคปี 2016 ได้หรือไม่ หรือว่าเขาจะต้องเกิดมาจากยุคที่บริสุทธิ์สวยงามกว่านี้เท่านั้น หลักการที่เขายึดมั่นจะยังคงอยู่ได้หรือในโลกอันซับซ้อนเช่นยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยประเด็นขัดแย้งและการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ด้วยรายงานข่าวตลอด 24 ชั่วโมงในทุกวันนี้ เราจะต่อสู้เพื่อความจริงและความถูกต้องโดยไม่กลัวข้อครหาได้อย่างไร
ทีมผู้สร้างกำหนดเรื่องไว้ว่า เมื่อการช่วยเหลือซึ่งคล้ายจะประสบความสำเร็จครั้งหนึ่งเกิดมีรายละเอียดที่ย้อนกลับมาเล่นงานซูเปอร์แมน คนทั้งโลกก็หันมาเล่นงานเขา ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล สื่อมวลชน หรือแม้แต่ฮีโร่ที่ต่อสู้กับอาชญากรเหมือนกันก็ยังมาร่วมขบวนด้วย
"ตอนที่เราเริ่มคุยกันว่าความท้าทายของซูเปอร์แมนคืออะไร เรารู้ดีว่าคงไม่สามารถหาภัยคุกคามภายนอกที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าการทำลายล้างโลกได้" แซ็ค สไนเดอร์กล่าว "ดังนั้นเราจึงต้องวางเดิมพันทางอารมณ์ให้สูงขึ้น แล้วใครจะเป็นคู่ต่อกรที่สมน้ำสมเนื้อในสงครามทางความคิดมากไปกว่าแบทแมนอีกล่ะ ทันทีที่พูดความคิดนี้ออกมา ก็ยากที่จะย้อนกลับแล้วแล้วล่ะครับ"
เพื่อนำแบทแมนเข้ามาในเรื่องนี้ได้อย่างกลมกลืน เราจึงได้รู้ประสบการณ์ของบรูซ เวย์นระหว่างเหตุการณ์แบล็ค ซีโร่ ในเมโทรโพลิส และการที่เขาเริ่มเปิดฉากรุกเพื่อทำลายคนซึ่งเขามองว่าเป็นศัตรู เหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างไม่คาดฝันนี้ รวมถึงมุมมองของตัวละครบรูซ เวย์นและแบทแมนเป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงเบน แอฟเฟล็กให้เข้ามารับบท
"ตอนเด็กๆ ผมเป็นแฟนของตัวละครนี้ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอน Dark Knight ของแฟรงค์ มิลเลอร์" แอฟเฟล็ก กล่าว "ถึงแม้ว่าหนังของเราไม่ได้เล่าเรื่องเดียวกัน แต่สิ่งที่ผมสนใจในการรับบทเป็นแบทแมนเวอร์ชันนี้คือ ในแง่หนึ่งเขายังคงมีภาพของแบทแมนที่เรารู้จักกันดี แต่เขากลายเป็นนักสู้ที่เริ่มแก่ตัวลงและเบื่อโลกจนแทบหมดความอดทนแล้ว จุดนี้เองที่สะดุดใจผม การกระทำของแบทแมนทำให้บรูซ เวย์น เกิดความโกรธแค้นที่แทบจะไร้เหตุผล และความโกรธเกลียดรุนแรงนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของตัวละครที่น่าสนใจมากครับ"
"ไม่ใช่ความลับครับเรื่องที่ว่า The Dark Knight Returns ของมิลเลอร์เป็นคอมิกที่ผมชอบและมีเนื้อหาซึ่งผมถือว่าเป็นการปะทะเชิงปรัชญาความคิดที่เจ๋งที่สุดระหว่างแบทแมนกับซูเปอร์แมน" สไนเดอร์กล่าว "เบนกับผมคุยกันยาวเรื่องการใช้ตัวละครของมิลเลอร์เป็นกรอบเบื้องต้นในแง่ที่ว่าแบทแมนในเรื่องนี้ผ่านประสบการณ์มามาก เขาทำแบบนี้มา 20 ปีแล้ว และสูญเสียเพื่อนฝูงไปมากมายตลอดเวลาที่ผ่านมาและกลายเป็นคนรักสันโดษ ดังนั้นในหนังของเรา บรูซจึงเหลือสิ่งสำคัญอยู่แค่อัลเฟรดกับการเป็นแบทแมน เขาเริ่มคิดเหมือนเราทุกคนว่าเขาได้ทิ้งมรดกอะไรเอาไว้บ้าง เขาถึงขั้นพูดกับอัลเฟรดว่าแทนที่จะถอนวัชพืช ด้วยการกระชากเอาอาชญากรรายหนึ่งออกมาเพื่อให้อีกรายเติบโตขึ้นมาแทนที่ จะไม่ดีกว่าหรือถ้าเขาจัดการกับปัญหาระดับโลกอย่างซูเปอร์แมน"
แอฟเฟล็กเสริมว่า "พอผมรู้ว่าแซ็คต้องการนำความเป็นจริงในชีวิตที่คนเข้าถึงได้ใส่ลงไปในหนังเรื่องนี้ ผมก็อยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องราวแบบนี้ และอยากเป็นส่วนหนึ่งในหนังจากค่าย DC ที่นำเอาฮีโร่เหล่านี้มารวมตัวกัน"
แม้รับบทเป็นตัวละครที่จมอยู่กับความโกรธ แต่แอฟเฟล็กกลับเพลินไปกับอารมณ์สนุกสนานในตัวผู้กำกับ "แซ็คเป็นคนมองโลกในแง่ดีและอารมณ์ดีซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับคนรอบตัว" เขากล่าว "เขารู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในหนังสือคอมิกอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ก็เปิดรับแนวคิดและความคิดเห็นต่างๆ การได้เห็นได้เห็นทุกอย่างเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมานับเป็นประสบการณ์พิเศษสำหรับผมเลยล่ะครับ"
"เบนมีความสามารถดีเยี่ยมในการปรับตัวเข้ากับโลกของบรูซ เวย์นและโลกของแบทแมน โดยยังรักษาบุคลิกสองส่วนให้แยกจากกัน แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เส้นแบ่งจางลงเล็กน้อยเพื่อให้เหมาะกับเรื่องราวของเรา" สไนเดอร์กล่าว
แต่การจับเอามนุษย์ธรรมดาอย่างแบทแมนมาประจันหน้ากับซูเปอร์แมนในช่วงท็อปฟอร์มจะส่งผลอย่างไร ถึงแม้มีอาวุธยุทโธปกรณ์และยุทธวิธีการต่อสู้ที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แต่แบทแมนจะเอาชนะบุคคลผู้ไร้เทียมทานได้หรือ เขาจะต้องสูญเสียมากแค่ไหนจากความอหังการครั้งนี้
โชคร้ายสำหรับซูเปอร์แมนที่เขาไม่ได้แข็งแกร่งไร้เทียมทานอย่างที่ตัวเองคิด ซูเปอร์แมนไม่เคยเล็งเห็นภัยคุกคามจนกระทั่งมันมาเยือนถึงหน้าประตูบ้าน และเมื่อเกิดเหตุขึ้น เขาก็มองว่าแบทแมนเป็นแค่สิ่งน่ารำคาญเล็กน้อยเท่านั้น "ในการต่อสู้ที่ทุ่มสุดตัวและเอาเป็นเอาตาย ใครจะชนะ แน่นอนว่าต้องเป็นซูเปอร์แมน" เฮนรี คาวิลล์กล่าว "แต่นั่นไม่ใช่ซูเปอร์แมน เขาไม่เห็นด้วยกับแนวคิดเรื่องความยุติธรรมของแบทแมนเลยแม้แต่น้อย เขาต้องการแก้ไขปัญหาแบบขาวสะอาดที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่ลดตัวลงไปอยู่ระดับเดียวกับแบทแมน ดังนั้นแบทแมนจึงได้เปรียบขึ้นมาทันที"
"การนำแบทแมนกับซูเปอร์แมนมาอยู่รวมกันในหนังเรื่องเดียวกันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อาจดูเหมือนง่ายในบทหนัง แต่จริงๆ แล้วไม่ง่ายเลย" แอฟเฟล็กกล่าว ถึงจะตัดเรื่องสมรรถภาพทางร่างกายออกไปจากสมการแล้ว "สองคนนี้มีบุคลิกภาพที่เด่นชัดและปรัชญาความคิดที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับการทำประโยชน์ให้โลกใบนี้ แต่ทั้งคู่ก็ต้องเผชิญกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบเดียวกัน นั่นคือ คุณต้องชั่วร้ายมากแค่ไหนจึงจะต่อสู้กับความชั่วร้ายได้อย่างเด็ดขาด สองคนนี้เป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่อยู่ในขั้วตรงกันข้าม ความเข้าใจผิดและความไม่ไว้วางใจที่ทั้งสองมีต่อกันได้นำไปสู่ความขัดแย้งในท้ายที่สุด ผมคิดและหวังว่าเราได้ถ่ายทอดพวกเขาออกมาอย่างที่ควรจะเป็น"
เช่นเดียวกับแอฟเฟล็ก คาวิลล์รู้ดีว่าตัวละครที่เขารับบทเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วโลกและตระหนักดีถึงความรับผิดชอบที่ตามมา "ซูเปอร์แมนสำคัญต่อผู้คนมากมายจริงๆ ครับ" เขากล่าว "ตั้งแต่รับบทเป็นซูเปอร์แมน ยิ่งผมได้พบผู้คนมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งตระหนักว่าเวลาที่เราตัดสินใจเล่าเรื่องราวของซูเปอร์แมนทั้งในตอนนี้และในอนาคต เราจำเป็นต้องคำนึงถึงความใส่ใจและความรักที่ผู้คนมีต่อตัวละครนี้ด้วย"
"ผมคิดว่าตัวละครและเรื่องราวเหล่านี้ไม่เพียงแต่สนุกมากเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวอย่างที่ดีถึงสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ การประพฤติตัวที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ช่วยให้เราได้เปรียบเทียบตัวเราและการกระทำของเรากับตัวละคร" คาวิลล์กล่าวต่อ "ในภาคที่แล้วโลกถูกมนุษย์ต่างดาวโจมตีและเกือบจะถูกทำลาย เหตุการณ์ครั้งนั้นนำซูเปอร์แมนไปสู่สายตาของสาธารณชน และนับแต่นั้นมาเขายังคงพยายามทำสิ่งที่ถูกต้องและผูกสัมพันธ์กับมนุษยชาติให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น แต่เขากลับต้องมาตั้งคำถามกับตัวเองว่ามนุษย์ต้องการความช่วยเหลือจากเขาจริงหรือ"
แม้ว่ายังมีคนที่เดือดร้อนมากมายต้องการความช่วยเหลือจากเขา แต่คนอย่างบรูซ เวย์น, เล็กซ์ ลูเธอร์ และแม้กระทั่งวุฒิสมาชิกสหรัฐก็เริ่มตั้งคำถามถึงแรงจูงใจเบื้องหลังการกระทำของซูเปอร์แมน เริ่มต้นจากการทำลายกองทัพชาวคริปตันที่นำโดยนายพลซ็อด เขาปกป้องโลกใบนี้และประชากรทั้งหมดเพราะเห็นแก่ผู้อื่นหรือเพราะต้องการปกป้องตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะได้เป็นชาวคริปตันเพียงหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้ และไม่มีใครหน้าไหนที่จะมาต่อกรกับพลังของเขาได้
"การที่มีคนซึ่งทำลายล้างมนุษยชาติได้ถ้าต้องการทำให้คนบางคนเริ่มฉุกคิด ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะมองว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่" สไนเดอร์กล่าว "หลายคนเชื่อว่าเขาจะยังคงมีความเมตตากรุณา ขณะที่คนบางคนอย่างเล็กซ์และบรูซมองระยะยาวกว่านั้น"
ซูเปอร์แมนอาจช่วยกู้โลกเอาไว้ได้ แต่สภาพแวดล้อมและผู้คนยังคงได้รับความบอบช้ำ จากประสบการณ์ของเขาในการต่อสู้กับเหล่าร้าย แบทแมนมีเหตุผลอีกข้อมาสนับสนุนมุมมองของเขาต่อมนุษย์ต่างดาวผู้นี้ โรเวนเสนอว่า "แบทแมนเคยเห็นคนที่กลายเป็นคนเลวเพราะอำนาจมามากมาย และซูเปอร์แมนก็มีอำนาจอย่างไร้ขอบเขต ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นว่าซูเปอร์แมนจะกลายเป็นคนเลวเมื่อไหร่"
เป็นเรื่องยากที่คลาร์กจะเข้าใจหรือยอมรับการโต้ตอบอย่างรุนแรงจากสังคม "เขารู้ว่าตัวเองเป็นมนุษย์ต่างดาว แต่เขาก็ได้สละทุกสิ่งจากวัฒนธรรมและเชื้อชาติของตนเพื่อปกป้องโลกใบนี้ ซึ่งเขารู้สึกว่าเป็นโลกของเขาเหมือนกัน" คาวิลล์กล่าว "เขายอมเปิดเผยตัวตนบางส่วนเพื่อทำความดี แต่ก็ยังมีคนนำเสนอเรื่องราวของเขาในแง่ร้าย ไม่ว่าเพื่อเรียกร้องความสนใจจากสื่อ จุดชนวนปัญหา หรือเพราะความหวาดกลัวก็ตาม คนเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่ยอมรับความจริงที่ว่าเขาเป็นบุคคลที่มีพลังมหาศาลก็จริง แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะใช้พลังนั้นเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งนับเป็นเรื่องน่าทึ่งในสมัยนี้"
"ฉันว่ามันสื่อให้เห็นว่าตัวละครเหล่านี้ลึกซึ้งและมีมิติมากแค่ไหน เพราะถึงแม้ว่าฮีโร่เหล่านี้จะมีพลังเหนือธรรมชาติ แต่พวกเขาก็ต้องพบเจอสิ่งต่างๆ เช่นเดียวกับที่เราทุกคนต้องเผชิญ" เดโบราห์ สไนเดอร์กล่าว "พวกเขาแค่พยายามหาตำแหน่งของตัวเองบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจุดแข็งของพวกเขาคืออะไร พวกเขาก็ยังคงมีข้อบกพร่องและจุดอ่อน ยังคงพยายามฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ และยังต้องการที่จะรักผู้อื่นและได้รับความรัก"
ขณะที่คนอื่นๆ กลายเป็นปฏิปักษ์ต่อเขา คนคนหนึ่งที่ยังเป็นหลักยึดอันมั่นคงในชีวิตของคลาร์กก็คือโลอิส เลน ความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นสิ่งปลอบประโลมและช่วยให้เขารู้สึกว่าได้รับการยอมรับ คาวิลล์กล่าวว่า "เขาอยากให้เธอมีความสุขและอยากเป็นคนธรรมดาเท่าที่ทำได้เมื่ออยู่กับเธอ แต่นี่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ธรรมดา จะเป็นไปได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อคนหนึ่งเป็นมนุษย์ต่างดาวที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน"
และอีกคนก็เป็นนักข่าวผู้มุ่งมั่นค้นหาความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ล่าสุดซึ่งกลายเป็นบ่วงผูกคอซูเปอร์แมน โดยเอมี อดัมส์ยินดีกลับมารับบทเป็นโลอิส เลนต่อจากภาคที่แล้ว
"ฉันชอบเส้นทางของโลอิสในภาคนี้ค่ะเพราะเธอยังคงไล่ล่าหาความจริง เธอจำเป็นต้องค้นหาความจริงเพื่อรักษาความเป็นตัวเธอไว้ นั่นเป็นส่วนหนึ่งในตัวตนของเธอ" อดัมส์กล่าว "แต่ตอนนี้เธอต้องค้นหาความจริงเพื่อช่วยคนรักของเธอล้างข้อกล่าวหา ดังนั้นเธอจึงไม่ได้มองเรื่องนี้ในฐานะนักข่าวเท่านั้น แต่เป็นผู้หญิงที่อยากช่วยคนที่เธอรักด้วยวิธีเดียวที่เธอทำได้"
"ในหลายๆ แง่ โลอิสเป็นศูนย์กลางและเป็นหัวใจของหนังเรื่องนี้เพราะเธอต้องคอยพลิกหินดูทุกก้อนว่าเกิดอะไรขึ้น" โรเวนกล่าว "เราค้นพบเรื่องราวหลายส่วนผ่านโลอิส รวมถึงความลึกลับเกี่ยวกับผู้ที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง แล้วยังมีความสัมพันธ์อันซับซ้อนของเธอกับคลาร์ก/ซูเปอร์แมนด้วย เอมีทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมในการเผยความซับซ้อนของตัวละคร รวมถึงสถานการณ์ที่โลอิสต้องเผชิญ"
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้อดัมส์ยินดีกลับมารับบทนี้คือการได้กลับมาทำงานกับผู้กำกับสไนเดอร์อีกครั้ง "แซ็คเคารพในตัวละครเหล่านี้ แต่ขณะเดียวกันเขาก็ไม่กลัวที่จะปล่อยให้ตัวละครเติบโต และถ่ายทอดตัวละครเหล่านี้จากมุมมองอื่น" เธอกล่าว "เขากล้าหาญมากในแง่นี้ค่ะ"
อดัมส์ตั้งข้อสังเกตว่า แซ็คทำเช่นนี้กับตัวละครหญิงเป็นพิเศษ "แซ็คถ่ายทอดผู้หญิงอย่างโลอิสให้มีความเข้มแข็งโดยไม่จำเป็นต้องดูเหมือนผู้ชาย" เธอกล่าวต่อ "เขาไม่กลัวความเป็นผู้หญิงในตัวละคร และการทำงานกับเขาก็เยี่ยมมาก เพราะเขาไม่ได้บังคับให้ฉันต้องแสดงความเข้มแข็งออกมา เขาแค่เชื่อว่ามีความเข้มแข็งอยู่แล้ว เขายังให้โอกาสฉันได้สำรวจความรักและความอ่อนแอซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตัวละคร ซึ่งฉันคิดว่าทำให้ตัวละครหญิงดูแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก เพราะการก้าวพ้นความกลัวและความอ่อนแอทำให้ความเข้มแข็งที่แท้จริงปรากฏออกมา"
อิทธิพลสำคัญในชีวิตของคลาร์กคือพ่อแม่ โจนาธานและมาร์ธา เคนต์ นับตั้งแต่สามีตายจากไป มาร์ธาเป็นเพียงผู้เดียวที่ย้ำเตือนให้คลาร์กนึกถึงช่วงเวลาที่เรียบง่ายในชีวิตอันไม่ธรรมดาของเขา
ไดแอน เลน ผู้กลับมารับบทที่เธอเล่นไว้ใน "Man of Steel" กล่าวว่า "โจนาธานเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมในตัวลูกชายและความสำคัญของเขาต่อโลกใบนี้ ขณะที่มาร์ธาอยากปกป้องเขา เธอไม่เชื่อว่ามนุษย์จะตอบสนองในทางที่ดีเมื่อรู้ว่ามีซูเปอร์แมนอยู่ และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าเธอก็คิดถูก"
ด้วยการทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหาร "มาร์ธาทำงานเสิร์ฟอาหารและเก็บความลับเอาไว้ พร้อมกับจับตาดูคลาร์กผ่านรายงานข่าว คอยดูว่าโลกพูดถึงเขาอย่างไรและนำปัญหามาให้เขาอย่างไรบ้าง" เลนกล่าว "เขาทำให้คนอิจฉาพลังที่มีอยู่ และเธอก็เป็นห่วงว่าเขาจะจัดการกับเรื่องเหล่านั้นได้อย่างไร เธอยังอยากปกป้องเขาอยู่ ก็เธอเป็นแม่นี่นะ"
ลอเรนซ์ ฟิชเบิร์น กลับมารับบทเดิมจากภาคเก่าเช่นกัน ในบทเพอร์รี ไวท์ บรรณาธิการของ Daily Planet "วันแรกที่ผมกลับมาเข้าฉาก ผมรู้สึกเหมือนเวลาไม่ได้ผ่านไปเลยครับ" ฟิชเบิร์นยิ้ม "มีคนคุ้นหน้ามากมายและบรรยากาศก็เหมือนเดิม การกลับมารับบทจากจุดเดิมที่ค้างไว้ก็เลยเป็นเรื่องง่าย"
ฟิชเบิร์นดีใจที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังภาคใหม่ที่มีแบทแมนและวันเดอร์วูแมนเข้ามาร่วมด้วย "เช่นเดียวกับซูเปอร์แมน ตัวละครเหล่านี้เป็นฮีโร่ที่ยินดีเสียสละตนเองและยอมทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อปกป้องส่วนรวมเอาไว้ พอผมรู้ว่าฮีโร่เหล่านี้อยู่ในเรื่องด้วย ผมก็ตื่นเต้นมากที่จะได้เล่นภาคนี้ครับ...และในฐานะแฟนคอมิก ผมก็ตื่นเต้นที่จะได้ดูหนังเรื่องนี้ด้วย"
แน่นอนว่าเมื่อแบทแมนเข้ามาร่วม อีกคนที่จะขาดไม่ได้ในทีมตัวละครก็คืออัลเฟรด คนสนิทและผู้ช่วยของบรูซ เวย์นในการต่อสู้กับอาชญากรรม ในเมื่อทีมงานกำหนดให้บรูซหรือแบทแมนมีอายุมากขึ้นและออกไล่ล่าอาชญากรมานาน ตัวละครอัลเฟรดจึงจำเป็นต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ด้วยเช่นกัน โดยทีมผู้สร้างหันไปพึ่งประวัติความเป็นมาอีกส่วนหนึ่งของเขาซึ่งยืนยันได้จากทักษะอันน่าประทับใจด้านเทคโนโลยีและเครื่องยนต์กลไก
เจเรมี ไอออนส์ มารับบทบาทที่สร้างขึ้นใหม่นี้ โดยกล่าวว่า "แซ็คคุยกับผมทันทีเกี่ยวกับตัวละครนี้ในเวอร์ชันที่เข้ามาลงมือทำมากกว่าเดิม เป็นคนที่มีภูมิหลังทางการทหาร เชี่ยวชาญด้านอิเล็กทรอนิกส์ และอะไรเทือกนั้น"
อย่างไรก็ดี ความรับผิดชอบใหม่ๆ นี้ไม่ได้มาแทนที่สัญชาตญาณความเป็นพ่อแม่ในความสัมพันธ์ของเขากับบรูซ "เขารู้จักบรูซมาทั้งชีวิตและหลังจากพ่อแม่ของบรูซตาย เขาก็พยายามช่วยชี้แนะแนวทางให้บรูซ พยายามให้บรูซมองให้ไกลขึ้นในเรื่องการมอบความยุติธรรม อัลเฟรดมองว่าความยุติธรรมคือการชำระแค้นโดยไม่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่สำหรับบรูซ สำหรับแบทแมน การแก้แค้นคืออารมณ์ความรู้สึกทั้งหมด
"ผมคิดว่าอัลเฟรดไม่ได้มีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับบรูซ เขาจึงพยายามโน้มน้าวให้บรูซเลิกล้มความคิด" ไอออนส์กล่าวต่อ "เขาคิดว่าบรูซตามล่าศัตรูผิดคน และเขาก็พยายามบอกบรูซด้วยอารมณ์ขันเชิงเสียดสีที่มาพร้อมกับประสบการณ์และอายุ แต่บรูซเป็นตัวของตัวเองและอัลเฟรดก็รักเขาเหมือนลูก ดังนั้นเขาจึงทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยบรูซ ซึ่งในกรณีของอัลเฟรดก็หลายเรื่องทีเดียว"
"เมื่อบรูซ เวย์นเป็นแบทแมน เขาสามารถเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดทุกสิ่งในชีวิตได้อย่างสงบนิ่งตามความเป็นจริง" สไนเดอร์กล่าว "เวลาเป็นแบทแมน เขารู้สึกว่าสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดีที่สุดแล้ว อัลเฟรดคอยให้เหตุผลแทนบรูซอยู่เสมอ เพื่อให้ด้านนั้นในตัวเขามั่นคงหนักแน่นยิ่งขึ้น เจเรมีทำหน้าที่ได้ดีมากในการเดินบนเส้นแบ่งบางๆ ที่อัลเฟรดจะต้องเดินไปและสวมหมวกหลายใบพร้อมกัน เขาตลกและตรงไปตรงมามากๆ ในบทนั้น และความสัมพันธ์ระหว่างบรูซกับอัลเฟรดก็ลึกซึ้งและสนุกน่าติดตาม"
เช่นเดียวกับตัวละครหลักตัวอื่นๆ ทีมผู้สร้างได้ปรับปรุงตัวละครเล็กซ์ ลูเธอร์เสียใหม่ โดยจินตนาการว่าเขาน่าจะเป็นคนแบบไหนในปี 2016 และสุดท้ายก็ตกลงใจให้ลูเธอร์เป็นคนหนุ่มที่ได้รับบริษัท LexCorp เป็นมรดกจากพ่อ แล้วทีมงานก็พบว่านักแสดงที่มองหาคือเจสซี ไอเซนเบิร์ก ผู้ถ่ายทอดตัวละครนี้ให้มีอารมณ์ขันร้ายกาจซึ่งเกิดจากความหมกมุ่นอันไร้เหตุผลต่อซูเปอร์แมน
"ถ้าคุณดูเล็กซ์ในงานคอมิก ฉากของเขาจะมีความไร้สาระพิลึกพิลั่น" ไอเซนเบิร์กกล่าว "เขามักพยายามวางแผนการที่ซับซ้อนมากในการฆ่าซูเปอร์แมน มันตลกดีที่ได้เห็นเขาตั้งใจทุ่มเทขนาดนั้น และถึงแม้ว่าเขาอาจดูเอาจริงเอาจัง แต่สำหรับผมแล้วเขาเป็นคนที่ฉลาดในการเล่นลิ้นเล่นคำเพื่อตีฝีปากกับคนอื่นและกดหัวให้คนอื่นดูต่ำต้อย เล็กซ์ใช้ความฉลาดของตนมาเป็นข้อได้เปรียบในแง่ที่เลวร้าย"
ทีมผู้สร้างพอใจกับการตีความใหม่นี้มาก "เราต้องการตัวละครที่ถ่ายทอดให้เห็นว่านักธุรกิจหนุ่มผู้น่าหลงใหล สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา และเป็นผู้ประกอบการที่ฉลาดปราดเปรื่องนั้นเป็นอย่างไร" ผู้อำนวยการสร้างชาร์ลส์ โรเวนกล่าว "เขาเปลี่ยนแปลงลื่นไหล มีเสน่ห์ดึงดูด และเป็นคนที่คุณไม่อาจละสายตาได้ เจสซีรับบทนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ การแสดงของเขาเหมือนมีมนต์สะกด เขาทำได้เกินความคาดหมายของเรา"
ไอเซนเบิร์กสนุกที่ได้เล่นกับความบ้าคลั่งของลูเธอร์ "เล็กซ์มองว่าซูเปอร์แมนแทบจะเป็นความย้อนแย้งในตัวเอง เขาไม่มีทางเป็นคนดีโดยสมบูรณ์ได้เพราะเขามีพลังอำนาจมาก แล้วเขาก็ไม่มีทางมีพลังอำนาจโดยสมบูรณ์ได้ถ้าเขาเป็นคนดีจริงๆ" เขาตั้งสมมติฐาน "ในอีกด้านหนึ่ง เล็กซ์ต้องการเป็นคนที่ทรงพลังที่สุด แต่เขามีพลังได้เพราะเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เขาสมควรได้รับพลัง ขณะที่ซูเปอร์แมนเป็นมนุษย์ต่างดาวผู้บุกรุกที่เลวร้ายและไม่สมควรมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ เล็กซ์มีมุมมองที่คับแคบจนกระทั่งเขามองว่าหลักศีลธรรมของตัวเองเป็นระบบความเชื่อที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียวในโลก และใครก็ตามที่เห็นแย้งก็จะเป็นคนไร้ศีลธรรมและสมควรถูกกำจัด"
ความเลวร้ายหลายอย่างในตัวเล็กซ์อาจมาจากพ่อซึ่งเขาอ้างถึงในหนัง "เล็กซ์รู้ตัวดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อซึ่งมีอำนาจแต่ชอบข่มเหงรังแกคนอื่น แล้วเขาก็นำเรื่องนี้มาเปรียบเทียบกับซูเปอร์แมนทำให้เล็กซ์ไม่เชื่อใจซูเปอร์แมนไปโดยปริยาย ตามหลักจิตวิทยาสมัยใหม่ เล็กซ์คงได้รับการวินิจฉันว่าเป็นคนต่อต้านสังคมที่หลงตัวเอง เป็นคนตลกและมีเสน่ห์ดึงดูดแต่ไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นได้ ในฐานะนักแสดงมันสนุกดีครับ เพราะเราสามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างที่อาจถูกตำรวจจับได้ แต่เราได้ทำในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย"
กิจกรรมหนึ่งที่สนุกและถูกกฎหมายซึ่งทั้งเล็กซ์และไอเซนเบิร์กชื่นชอบเป็นพิเศษก็คือบาสเก็ตบอล "ผมเล่นมาตั้งแต่เล็กแล้วครับ" เขากล่าว "พอผมได้อ่านบทว่าเล็กซ์มีสนามบาสเก็ตบอลอยู่ในสำนักงาน ผมก็พูดว่า 'ไม่ต้องใช้คนแสดงแทนหรือคอมพิวเตอร์เอฟเฟ็กต์อะไรเลยนะ เรื่องนี้ที่ผมทำได้' แล้วผมก็ไปที่กองถ่าย เล่นทั้งวันโดยไม่พลาดเลยจนกระทั่งเราไปถึงช็อตที่เล็กซ์ชู้ตสามคะแนน หันหน้ามาพูด...แล้วบอลก็ไม่ลงห่วง เหมือนมุขคลาสสิกของชาร์ลี บราวน์เลยล่ะครับ"
แม้ดูเหมือนลูเธอร์จะมีพนักงานมาเล่นบาสด้วยอยู่ตลอด แต่ก็ไม่แน่ว่าเขามีเพื่อนแท้อยู่บ้างหรือเปล่า "ก็เหมือนกับที่เรามักถ่ายทอดภาพซาตานให้เป็นคนมีเสน่ห์ การเป็นเพื่อนกับเล็กซ์ก็เหมือนการขายวิญญาณให้ปีศาจนั่นล่ะครับ" ไอเซนเบิร์กหัวเราะ
อย่างไรก็ดี ลูเธอร์ได้พยายามทำข้อตกลงฉันมิตรกับวุฒิสมาชิกสหรัฐ จูน ฟินช์ นักการเมืองจากเคนตักกีผู้เป็นหญิงเหล็กอย่างแท้จริง รับบทโดยนักแสดงชั้นเยี่ยม ฮอลลี ฮันเตอร์ ซึ่งยินดีที่ได้มาดวลกับไอเซนเบิร์ก
ฮันเตอร์กล่าวว่า "ความเชื่อใจสำคัญมากสำหรับเธอเมื่อต้องติดต่อกับเล็กซ์ ลูเธอร์ และการทำงานกับเจสซีก็เยี่ยมไปเลยค่ะ เขาเป็นคนหัวไวที่พูดน้ำไหลไฟดับและรวดเร็วคล่องแคล่ว ทำให้การเปลี่ยนเรื่องดูน่าสนใจและทำให้เล็กซ์ดูน่าตื่นเต้นด้วย
"ตัวละครสองตัวนี้มีความสัมพันธ์ที่น่าสนใจหลายแง่มุม และบทหนังก็สำรวจพื้นที่ระหว่างทั้งสองได้อย่างงดงาม" เธอกล่าวต่อ "มีคลื่นใต้น้ำที่ผันผวนอยู่ในข้อตกลงทั้งหมดและฟินช์ก็รู้สึกได้ เธอรู้ว่าถ้าคุณไม่สามารถเชื่อใจใครสักคน คุณก็ต้องตั้งใจฟังทุกสิ่งที่คนคนนั้นพูดให้ละเอียดยิ่งขึ้นกว่าเดิม"
"แซ็คกับฉันติดตามผลงานของฮอลลี ฮันเตอร์มาตลอดค่ะ" เดโบราห์ สไนเดอร์กล่าว "ดังนั้นเมื่อมีบทวุฒิสมาชิกหญิงแกร่งจากทางใต้ เราจึงรู้เลยว่าบทนี้เหมาะกับเธอ พอเรารู้ว่าจะได้เธอมาเล่น บทนี้ก็พัฒนาออกไป วุฒิสมาชิกฟินช์เป็นหัวหน้าคณะกรรมการสืบสวนการกระทำของซูเปอร์แมน เธอมองว่าเขาควรรับผิดชอบต่อการกระทำของตน แต่ก็ควรได้รับการตัดสินอย่างยุติธรรมด้วย"
ฮันเตอร์กล่าวว่าสิ่งที่ทำให้เธอสนใจตัวละครนี้มากที่สุด "คือเรื่องที่ว่าเธอใช้เหตุผลเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่อารมณ์ บ่อยครั้งในแวดวงการเมือง การใช้อารมณ์อาจครองเวทีเพราะมันดึงความสนใจคนได้ แต่นั่นไม่ใช่แนวทางของฟินช์ เธอพิจารณาประเด็นโดยใช้เวลาเต็มที่จนกระทั่งได้ผลการตัดสินใจที่ตั้งอยู่บนหลักการและคำนึงถึงสิ่งสำคัญในอนาคตมากกว่าจะไปนึกถึงองค์ประกอบอื่นๆ"
นอกจากนี้นักแสดงรายอื่นๆ ได้แก่ แฮร์รี เลนนิกซ์ ซึ่งกลับมารับบทเดิมเป็น สวอนวิค ที่เดิมเป็นนายพลแต่ปัจจุบันเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม, ทาโอะ โอคาโมโต รับบทเป็นเมอร์ซี เกรฟส์ มือขวาสาวผู้สง่างามของเล็กซ์ และแคลแลน มัลวีย์ เป็นบุคคลลึกลับซึ่งการกระทำของเขาส่งผลกระทบต่อซูเปอร์ฮีโร่ทั้งสอง แล้วยังมีนักแสดงรับเชิญหลายรายทั้งผู้ประกาศข่าวตัวจริง ผู้เชี่ยวชาญที่ให้สัมภาษณ์ และผู้ให้ความเห็น ช่วยให้หนังเรื่องนี้อยู่ในโลกของความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น
คุณไม่รู้จักผม แต่ผมเคยรู้จักผู้หญิงอย่างคุณมาไม่น้อยนะ
—บรูซ เวย์น
ฉันว่าคุณไม่เคยรู้จักผู้หญิงอย่างฉันหรอก
—ไดอานา พรินซ์
วันเดอร์วูแมนเป็นบทที่ทีมผู้สร้างรู้สึกว่าอาจเป็นความรับผิดชอบใหญ่หลวงที่สุดในการหานักแสดง "วันเดอร์วูแมนเพิ่งมีอายุครบ 75 ปี และเรารู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่จะให้เธอก้าวเข้ามาสู่จอภาพยนตร์" เดโบราห์ สไนเดอร์กล่าว "เธอเป็นฮีโร่หญิงที่ทรงพลังมากที่สุดคนหนึ่งที่เรามีอยู่ เป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งและทุ่มเท และเป็นแบบอย่างให้ผู้หญิงทุกวัย"
ฟังดูไม่กดดันเลยนะเนี่ย
"เราค้นหาไปทั่วโลก เราเลือกจากนักแสดงนับร้อยๆ" เธอกล่าวต่อ "พอเราได้พบกัล กาด็อต ทุกคนก็ลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าเธอเป็นคนพิเศษ เธอเป็นตัวแทนของวันเดอร์วูแมนได้เลย และเมื่อเราได้ทำความรู้จักกับเธอและเห็นว่าเธอมีปฏิสัมพันธ์ต่อทุกคนอย่างไร เราก็รู้เลยว่าเธอเหมาะสมที่สุด วันเดอร์วูแมนเป็นตัวแทนของความรัก ความจริง และความเท่าเทียมทางเพศ กัลเป็นตัวแทนของคุณสมบัติเหล่านั้น"
วันแรกที่กาด็อตมากองถ่ายในฐานะวันเดอร์วูแมน ทุกคนตื่นเต้นกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มาเยือนรุ่นเยาว์คนหนึ่ง เธอเป็นหลานสาวของทีมงานซึ่งได้วาดรูปมาให้วันเดอร์วูแมนด้วย "สาวน้อยน่ารักนำภาพสวยๆ ที่เธอวาดมาให้" กาด็อตเล่า "แล้วคนก็เริ่มน้ำตาคลอกัน เป็นช่วงเวลาที่ซาบซึ้งและพิสูจน์ให้เห็นว่าตัวละครนี้สำคัญแค่ไหน สำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่อาจได้รับแรงบันดาลใจให้โตขึ้นมาเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง พึ่งตัวเองได้ และรอบรู้ รวมทั้งเด็กผู้ชายที่ได้เรียนรู้ว่าต้องเคารพในตัวผู้หญิง วันเดอร์วูแมนเป็นตัวแทนของสิ่งดีๆ มากมาย รวมถึงความเข้มแข็งทางจริยธรรมด้วย"
แม้ว่าเธอจะปรากฏตัวในหนังเรื่องนี้เป็นช่วงสั้นๆ แต่กาด็อตก็พอใจที่ได้สร้างตัวละครนักรบแอมะซอนให้มีชีวิตขึ้นมาเคียงข้างซูเปอร์ฮีโร่ชายคนสำคัญ "เธออยู่มานานแล้วและฉลาดมาก" กาด็อตตั้งข้อสังเกต "เธอรู้ว่าจะเลือกการต่อสู้อย่างไรและอ่านทางออกล่วงหน้าไปหลายจังหวะ แล้วผู้ชายกับผู้หญิงก็แตกต่างกันมากในแง่การจัดการกับความขัดแย้ง"
แล้วตอนนี้คุณก็จะบินไปหาเขา สู้กับเขาจนถึงตาย
สีดำและสีน้ำเงิน ในคืนแห่งการต่อสู้
—เล็กซ์ ลูเธอร์
>> ฟิตร่างกายเตรียมสู้ <<
เนื่องจากเฮนรี คาวิลล์ ยังคงรักษาวินัยที่ทำมาตั้งแต่รับบทเป็นซูเปอร์แมนในภาคแรก ครูฝึก มาร์ค ทไวต์ ซึ่งทำงานกับเขาใน "Man of Steel" และกลับมาร่วมงานกันอีกในภาคนี้ จึงได้งานที่ต่างออกไปจากเดิมใน "Batman v Superman: Dawn of Justice" เนื่องจากนักแสดงรายนี้ยังคงสภาพร่างกายไว้ดังเดิม
"ตามความคิดของผม ผมได้ตั้งมาตรฐานให้ตัวเองใน 'Batman v Superman' สูงกว่าใน 'Man of Steel' ด้วยซ้ำ ซึ่งก็นับเป็นความท้าทายในตัวเองอยู่แล้ว" คาวิลล์กล่าว "แต่โชคดีที่มาร์ค ทไวต์ ช่วยมาฝึกให้ผมตลอดการถ่ายทำ 'Man from U.N.C.L.E.' ผมก็เลยพร้อมเต็มที่สำหรับการฝึกเพื่อรับบทใน 'BvS' "
ทไวต์ประทับใจความทุ่มเทของคาวิลล์ "เขาฝึกตัวเองจนร่างกายมีพละกำลังจริงๆ" ครูฝึกรายนี้กล่าว "เฮนรีเปลี่ยนมุมมองต่อสิ่งที่ร่างกายเขาสามารถทำได้ไปโดยสิ้นเชิง เมื่อสามปีก่อน เขาคงไม่นึกว่าจะวิ่งขึ้นโขดหินยิบรอลตาร์เพื่อระดมทุนให้ราชนาวิกโยธินอังกฤษ แต่เขาก็ทำไปแล้วเมื่อปี 2014 ตอนแรกที่เราอยู่ในแวนคูเวอร์ การขึ้นเขาตามเส้นทาง Grouse Grind ยังเกินกำลังสำหรับเขาด้วยซ้ำไป นี่เป็นผลจากการที่เขาใช้ร่างกายตัวเองได้เต็มศักยภาพมากขึ้นครับ"
คาวิลล์ระบุว่า "ในช่วงเริ่มต้นขั้นตอนก่อนการถ่ายทำ 'BvS' ผมก็ถูกส่งต่อไปยังไมเคิล เบลวินส์ ไมเคิลกับผมทำงานด้วยกันในโปรแกรมเพิ่มมวลกล้ามเนื้อซึ่งทำให้ผมหนักขึ้นอีก 20 ปอนด์เมื่อเทียบกับจุดที่ผมมีมวลกล้ามเนื้อมากที่สุดใน 'Man of Steel' จากนั้นเราก็เข้าสู่ขั้นตอนการรีดไขมันเพื่อลดน้ำหนักลงให้ถึงจุดที่ตั้งไว้ ซึ่งต้องอาศัยการฝึกแบบเน้นประสิทธิภาพ รวมถึงการปรับสภาพร่างกาย ข้อดีของการทำงานกับไมเคิลคือถึงแม้งานนี้จะเป็นการเตรียมตัวรับบทที่ยากที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมา แต่เขาก็ช่วยให้การฝึกครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่เพลิดเพลิน และเราก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันเพราะงานนี้"
บทแบทแมนทำให้เบน แอฟเฟล็กต้องดูน่าเกรงขามเมื่อเผชิญหน้ากับซูเปอร์แมน "สำหรับผมแบทแมนจำเป็นต้องดูตัวใหญ่กว่าเพราะซูเปอร์แมนแข็งแรงกว่ามนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว" ผู้กำกับ แซ็ค สไนเดอร์อธิบาย "ในทางทฤษฎี มนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังเทียบไม่ได้เลยกับซูเปอร์แมน แต่ผมอยากให้ดูเหมือนว่าแบทแมนยังพอมีโอกาสที่จะสู้ได้ เบนสูง 6 ฟุต 4 นิ้ว พอใส่รองเท้าบู๊ตแล้วเขาจะสูง 6 ฟุต 6 นิ้ว แล้วเขาก็หล่อเหลา ฉลาด มีเสน่ห์ และดูเป็นผู้ใหญ่ สำหรับบทแบทแมนผู้ผ่านโลกมามาก เบนเหมาะที่สุด"
นอกเหนือจากความสูงที่ได้เปรียบเล็กน้อย (คาวิลล์สูง 6 ฟุต 1 นิ้ว) แอฟเฟล็กยังต้องเพิ่มความน่าเกรงขามเข้าไปอีก แบทแมนอาจมีอายุมากขึ้นและผ่านศึกมามากก็จริง แต่เขายังคงเป็นแบทแมน ดังนั้นแอฟเฟล็กจึงใช้เวลากว่าหนึ่งปีฟิตร่างกายเพื่อรับบทนี้ "ผมต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมและยึดหยุ่นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้" เขากล่าว "ในบางแง่ งานที่ต้องทำก่อนการถ่ายทำยังหนักกว่างานระหว่างถ่ายทำด้วยซ้ำไปครับ"
ผู้กำกับกองสองและผู้ประสานงานสตันท์ เดมอน คาโร จาก "Man of Steel" ทำงานร่วมกับสไนเดอร์เพื่อกำหนดระดับทักษะและเทคนิคที่เหมาะสมสำหรับฮีโร่ทั้งสองในฉากต่อสู้ "แซ็คกับผมคุยกันว่าซูเปอร์แมนน่าจะเก่งขึ้นมากแค่ไหนตั้งแต่เราได้เห็นเขาครั้งล่าสุด" คาโรกล่าว "เขาช่วยชีวิตผู้คนมาตลอด แต่เขาอาจไม่ได้สู้กับใครมากนัก ดังนั้นเทคนิคของเขาอาจยังอยู่ตรงจุดเดิมจากเมื่อภาคก่อน แต่ความฉลาดและการวางแผนกลยุทธ์จะต้องพัฒนาขึ้นตามประสบการณ์"
ในส่วนของแบทแมนนั้น คาโรกล่าวว่า "สิ่งหนึ่งที่ชวนดึงดูดในตัวเขาก็คือเขาเป็นคนที่มีประสบการณ์มากกว่า เรื่องนี้น่าสนใจสำหรับผมเพราะเขาผ่านช่วงเรียนรู้ไปแล้วและมีประสบการณ์มากมาย ดังนั้นเราจึงออกแบบการต่อสู้ของเบนด้วยมุมมองที่ต่างออกไป เขามีฝีมือ เขามีทักษะทุกอย่าง มีพละกำลัง และแน่นอนว่าต้องมีอาวุธ แบทแมนจะเน้นการวางแผนลับเป็นหลัก"
การฝึกร่างกายเพื่อรับบทในหนังเรื่องนี้ไม่ได้ใช้กับนักแสดงชายเท่านั้น เพราะทีมผู้สร้างจะนำเสนอทั้งวันเดอร์วูแมนและไดอานา พรินซ์ผู้ลึกลับในหนังเรื่องนี้ ทีมงานจึงต้องการให้สภาพร่างกายของกัล กาด็อตสะท้อนถึงทั้งสองด้านของตัวละครนี้ ด้วยความที่เคยอยู่ในกองทัพอิสราเอล นักแสดงรายนี้จึงคุ้นเคยกับการฝึกต่อสู้เป็นอย่างดี หลังจากพูดคุยเรื่องบทกับทีมผู้สร้าง ทไวต์กล่าวว่าเขาฝึกกาด็อตด้วยความตั้งใจที่จะ "พัฒนาสภาพร่างกายตามลักษณะเฉพาะของตัวละครตัวนี้ ซึ่งสามารถกลมกลืนเข้ากับแวดวงสังคมชั้นสูง ขณะเดียวกันก็เป็นขาลุยเมื่อถึงเวลาต้องกวัดแกว่งดาบและต่อสู้กับเหล่าร้าย"
ทไวต์ทำงานกับกาด็อตเป็นเวลากว่าเก้าเดือน "ผมสังเกตเห็นว่าเมื่อเธอมีสภาพร่างกายพร้อมมากขึ้น ทัศนคติของเธอก็เปลี่ยนแปลงไป จากที่ยังสงสัยในความสามารถของตัวเองในการรับบทนี้ มาเป็นรู้เลยว่าสามารถรับบทบาทให้สมจริงได้ น่าตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นพัฒนาการในแง่ความมั่นใจของเธอ ว่าเธอสามารถเป็นทั้งตัวละครที่งดงาม นุ่มนวล และเห็นอกเห็นใจเมื่อเธอต้องการ และแข็งแกร่งได้มากเท่าที่เธอต้องการเมื่อต่อสู้กับเหล่าร้าย"
คาโรให้กาด็อตได้แสดงศักยภาพของเธอออกมา "เราฝึกศิลปะการต่อสู้กันเยอะครับ ฝึกท่วงท่า ฟุตเวิร์ก การต่อย การเตะ และอื่นๆ" เขากล่าว "เราเน้นการฝึกใช้อาวุธเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาบและโล่"
"กัลต้องผ่านการฝึกที่เข้มงวดมากค่ะ" เดโบราห์ สไนเดอร์เสริม "แต่เธอมองในแง่ดีเสมอ และอยากรู้ว่าตัวเองจะทำอะไรได้มากกว่านี้ แค่ความมุ่งมั่นของเธอก็ทำให้เราเห็นแล้วว่าเราได้วันเดอร์วูแมนมาจริงๆ"
แม้ว่าโลอิส เลนไม่เคยใส่ชุดซูเปอร์ฮีโร่ แต่เอมี อดัมส์ก็ไม่รอดจากการการฝึกสตันท์เสียทีเดียวเนื่องจากมีฉากสำคัญที่เธอต้องอยู่ใต้น้ำ "ทีมงานที่เก่งทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัยค่ะ" อดัมส์เล่า "แต่ก็เป็นฉากที่อึดอัด ฉันอยู่ใต้น้ำและติดอยู่ตรงนั้น และการแสดงส่วนนั้นก็เป็นสิ่งที่ฉันไม่ได้เตรียมใจมาก่อน มันตึงเครียดมากแต่สุดท้ายฉันก็ทำใจได้ว่าฉันไม่ได้ต้องจมน้ำจริงๆ เรามีทีมงานหกคน ทั้งนักประดาน้ำ สตันท์หญิง และช่างกล้อง ทุกคนลงไปด้วยกันซึ่งช่วยให้สบายใจขึ้นมาก ปรากฏว่าพอลงไปแล้วมันกลับสงบนิ่งและผ่อนคลายอย่างน่าประหลาดค่ะ เพียงแต่ว่าพอกลับมาฉันก็เป็นหูชั้นนอกอักเสบ นั่นล่ะค่ะบาดแผลจากสงคราม! คนอื่นๆ ต้องทำงานหนักมากจนฉันรู้สึกว่าอย่างน้อยสิ่งที่ฉันทำได้ก็คือลงไปข้างล่างและอย่าบ่น"
อาจเพราะความเป็นชาวก็อธแธมในตัวผมก็ได้…
เราแค่เคยผ่านเรื่องแย่ๆ จากพวกคนประหลาดที่แต่งตัวเป็นตัวตลกน่ะ
—บรูซ เวย์น
>> ใส่ชุดฮีโร่ <<
การฟิตร่างกายเพื่อรับบทเป็นซูเปอร์ฮีโร่ก็สำคัญแล้ว แต่การแต่งตัวเพื่อรับบทอาจสำคัญกว่า นักออกแบบเครื่องแต่งกายไมเคิล วิลคินสัน ผู้ออกแบบชุดซูเปอร์แมนใน "Man of Steel" กระตือรือร้นที่จะได้กลับมารับงานนี้และได้ทำชุดให้แบทแมนกับวันเดอร์วูแมนด้วย
สำหรับชุดซุปเปอร์แมนที่มีของเดิมอยู่แล้วนั้น วิลคินสันกล่าวว่า "เราต้องการพัฒนาชุดซูเปอร์แมนต่อ แซ็คชอบแนวคิดที่จะให้ชุดนี้ดูเพรียวลมมากยิ่งขึ้น เราจึงลองเทคโนโลยีใหม่ๆ และปรับรายละเอียดช่วงข้างลำตัว คราวนี้เขามีความคิดที่จะนำเอาข้อความภาษาคริปตันใส่ลงไปในชุดด้วย ดังนั้นตรงช่วงแขนท่อนบน อักษรเอสบนหน้าอก และสายรัดตรงข้อมือ ก็จะมีข้อความที่อ่อนช้อยสลักลงไปในลวดลายของเกราะ เป็นข้อความจากหนังสือของโจเซฟ แคมป์เบลล์ซึ่งมีความหมายต่อแซ็ค"
ข้อความจากแคมป์เบลล์ที่วิลคินสันใส่ลงไปในเครื่องแต่งกายนั้นตรงกับแนวคิดของหนังและสอดคล้องกับตัวละครนี้ "เมื่อเราคิดว่าจะพบความเกลียดชัง เราจะพบพระเจ้า เมื่อเราคิดว่าจะห้ำหั่นผู้อื่น เราจะห้ำหั่นตนเอง เมื่อเราคิดว่าจะเดินทางสู่ภายนอก เราจะเข้าสู่ใจกลางแห่งการดำรงอยู่ เมื่อเรานึกว่าอยู่ตามลำพัง เราจะอยู่กับโลกทั้งโลก"
"แน่ละครับว่าถ้าจะถอดรหัสข้อความบนชุด คุณก็ต้องอ่านภาษาคริปตันออกซะก่อน" วิลคินสันยิ้ม
ผ้าคลุมของซูเปอร์แมนก็ได้รับการพัฒนาเช่นกัน "สำหรับผ้าคลุมของซูเปอร์แมน เราตั้งใจสื่อให้เห็นความสมบูรณ์แบบจนไม่น่าเป็นไปได้" นักออกแบบรายนี้กล่าว "เราพบสิ่งทอชนิดใหม่ที่ให้ความแวววาวแบบโลหะและกลมกลืนไปกับสีน้ำเงินในชุดซูเปอร์แมนได้อย่างงดงาม วัสดุนี้ใช้การตัดด้วยมีดร้อนและเชื่อมเข้าด้วยกันเพื่อหลีกเลี่ยงเส้นตะเข็บ ผ้าคลุมของซูเปอร์แมนเป็นสิ่งที่รับมาจากตระกูลอันสูงส่งของเขา เป็นสิ่งที่เหลือมาจากวัฒนธรรมการใช้ผ้าคลุมบนดาวคริปตัน"
ส่วนชุดแบทแมนนั้นได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องแต่งกายที่เรียบง่ายตามภาพใน The Dark Knight Returns ของแฟรงค์ มิลเลอร์ ในกราฟฟิกโนเวลเรื่องนี้ ชุดแบทแมนดูไฮเทคน้อยกว่าและเป็นอนาล็อกมากกว่า โดยวิลคินสันตีความว่าเป็น "สิ่งที่บรูซ เวย์นได้สร้างแบบจำลองและผลิตขึ้นมาในห้องทำงานของเขา มันดูเหมือนยังไม่เสร็จ ยังมีความดิบหยาบอยู่" งานออกแบบช่วยเน้นย้ำความแตกต่างระหว่างซูเปอร์ฮีโร่ทั้งสอง ขณะที่ซูเปอร์แมนเน้นรูปทรงเพรียวลมและความสมบูรณ์แบบคล้ายรูปปั้นกรีก แบทแมนจะเน้นความกำยำล่ำสันและความดิบหยาบ
แม้ชุดแบทแมนอาจดูโลเทคเมื่อเห็นครั้งแรก แต่นักออกแบบรายนี้กล่าวว่า "ชุดนี้สร้างขึ้นมาได้ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เราเริ่มจากการสแกนตัวเบนก่อนเพื่อสร้างหุ่นแทนตัวเขาขึ้นมา จากนั้นเราก็หล่อโครงของร่างกายขึ้นมาชั้นหนึ่งและห่อหุ้มด้วยชั้นสิ่งทอที่ผ่านการพิมพ์แบบดิจิตัล สำหรับหน้ากากนั้น เราเริ่มจากการปั้นด้วยดินก่อน จากนั้นค่อยใช้สแกนเนอร์มือถือสแกนลงคอมพิวเตอร์ เมื่ออยู่ในคอมพิวเตอร์แล้ว เราก็ใส่พื้นผิวคล้ายหนังทับลงไป จากนั้นงานปรับแต่งของจริงจึงเริ่มต้นขึ้น
"เราคว้านเอาส่วนเกินภายในหน้ากากออกไป ทำให้มันยืดหยุ่นมากขึ้นและขยับได้เหมือนชิ้นส่วนร่างกายปกติ" เขากล่าวต่อ "คุณจะเห็นกล้ามคอที่สวยงาม และมันก็รับกับหน้าของเบนได้พอดี ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างเครื่องแต่งกายเพื่อให้ได้หน้ากากค้างคาวที่ใส่สบายและเคลื่อนไหวได้เต็มที่ เราใช้เวลาราวหกถึงแปดเดือนพัฒนาชุดแบทแมนทั้งชุดก่อนนำมาใช้ในการถ่ายทำ"
นอกจากนี้สิ่งที่ตัดกับความงดงามเรียบร้อยของชุดซูเปอร์แมนก็คือสภาพชุดและผ้าคลุมของแบทแมนซึ่งดูเหมือนผ่านสมรภูมิมาแล้ว มีรอยขีดข่วนและรูกระสุน รวมทั้งมีสิ่งสกปรกที่ฝังอยู่ตามเนื้อผ้าจากการต่อสู้ตามท้องถนนในก็อธแธมมานานหลายปี ขณะที่ผ้าคลุมของซูเปอร์แมนเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมของชาวคริปตัน ผ้าคลุมของแบทแมนใช้เป็นส่วนหนึ่งของการอำพราง ช่วยในการซ่อนตัวและเพิ่มความดำมืดน่าสะพรึงกลัวให้รูปร่างที่น่าเกรงขามอยู่แล้ว
"แซ็คต้องการให้แบทแมนของเรามีร่างกายที่ดูน่าหวั่นเกรง เป็นนักสู้ผู้เชี่ยวชาญ เป็นนักชกต่อย" วิลคินสันกล่าว "พลังไม่ได้มาจากเกราะของเขาแต่เป็นความแข็งแกร่งของคนที่อยู่ข้างใน คุณจะเห็นกล้ามเนื้อปรากฏชัดจากหัวจรดเท้า แม้กระทั่งผ่านรองเท้าบู๊ตและถุงมือ คุณรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งมั่นคง"
เรื่องราวนี้ยังต้องใช้ชุดแบทแมนชุดที่สองซึ่งมีหน้าที่การใช้งานแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง นอกเหนือจากชุดที่แบทแมนใส่ในฉากส่วนใหญ่แล้ว ยังมีชุด "meck suit" ซึ่งมีลักษณะคล้ายชุดเกราะ บรูซ เวย์นและอัลเฟรดระดมความรู้ด้านกลไกทั้งหมดลงไปในชุดนี้ โดยหวังว่ามันจะเป็นชุดที่ไม่สามารถเจาะทะลุได้ ทำให้แบทแมนมีโอกาสในการสู้กับซูเปอร์แมน
เช่นเดียวกับที่ชุดของเฮนรี คาวิลล์เปลี่ยนให้เขาเป็นซูเปอร์แมน เบน แอฟเฟล็กก็ยกความดีให้ชุดในการเปลี่ยนเขาให้เป็นแบทแมน "ตอนผมอ่านบท ผมคิดอยู่เหมือนกันว่า 'เราจะทำยังไง เราจะรับบทเป็นแบทแมนยังไงดี''เขายอมรับ "แต่พอผมสวมชุดและดูในกระจก ผมก็คิดว่า 'ได้ละ' ปรากฏว่าบทนี้ไม่ใช่การเล่นเป็นแบทแมนเสียทีเดียว แต่คือการรับบทเป็นบรูซ เวย์น นั่นคือจุดที่ตัวละครของเราเริ่มซับซ้อนขึ้นมา ตัวแบทแมนเองมีบุคลิกนิ่งเฉยและมืดหม่น ถ้าชุดดูดีและถ่ายออกมาดี ก็จะเป็นภาพที่ทุกคนจำได้อยู่แล้ว แทบจะเป็นเหมือนภาพวาดของตัวละครผู้ชำระแค้น การพยายามแสดงเป็นแบทแมนมากเกินไปนั่นล่ะคือความผิดพลาด โดยส่วนใหญ่เราแค่ปล่อยให้ชุดและทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวทำหน้าที่ของมันไป"
สิ่งที่น่าจะเป็นความท้าทายประการสำคัญที่สุดของฝ่ายเครื่องแต่งกายก็คือการออกแบบเครื่องแต่งกายของวันเดอร์วูแมนขึ้นมาใหม่ เคยมีการนำแบบเดิมจากยุคทศวรรษ 1970 มาปรับปรุงให้ทันสมัยมาสองสามครั้งแล้ว แต่ผู้กำกับสไนเดอร์ไม่ต้องการแค่การปรับปรุงใหม่ เขาอยากเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น
"สิ่งแรกที่แซ็คกับผมคุยกันคือเราต้องการให้ดูเหมือนว่าเธอใส่เครื่องแต่งกายนี้มาตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา" วิลคินสันเล่า "เธอสวมเกราะหุ้มอกแบบนักสู้แกลดิเอเตอร์ กระโปรงผ่า และเกราะขาที่ใช้ต่อสู้มาหลายศตวรรษ หนังมีรอยแตกและดูเป็นของโบราณ อาวุธทั้งหมดผ่านการใช้งานมานานและดูมีความเก่าแก่"
สไนเดอร์ต้องการให้ชุดของวันเดอร์วูแมนทำจากโลหะ ซึ่งดูเป็นความคิดที่ดีจนกระทั่งวิลคินสันเริ่มคิดถึงการใช้งานในฉากต่อสู้และสเปเชียลเอฟเฟ็กต์อื่นๆ "โลหะมีความแข็ง" วิลคินสันอธิบาย "แต่ท่วงท่าและคิวบู๊ตามบทของเราต้องอาศัยการเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวกที่สุด ดังนั้นเราจึงพัฒนาวัสดุที่ดูคล้ายโลหะขึ้นมาแทนแต่สามารถลงสีเพื่อสร้างความรู้สึกว่าเป็นของเก่าโบราณ แล้วก็ยังมีความยืดหยุ่นด้วย ผมออกแบบเกราะอกที่แยกเป็นส่วนๆ และมีตัวเชื่อมที่ขยายได้ ช่วยให้กัลหายใจได้สะดวก รวมทั้งสามารถก้มตัวและทำท่าต่างๆ ได้โดยดูเหมือนใส่ชุดเกราะโลหะที่แข็งแกร่ง เราต้องการสร้างสมดุลระหว่างพลังอันน่าเกรงขามกับความสง่างามองอาจของเธอ"
วิลคินสันพบว่าความท้าทายเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการสร้างเครื่องแต่งกายที่ซับซ้อน "เมื่อใดก็ตามที่เราทำงานกับชุดของซูเปอร์ฮีโร่ เราจะต้องทำงานวิจัยและพัฒนาอย่างหนักช่วงก่อนการถ่ายทำ" วิลคินสันกล่าว "เราสำรวจสิ่งทอและคำนึงถึงสภาพการใช้งานของชุดเหล่านี้ระหว่างการถ่ายทำ เครื่องแต่งกายเหล่านี้ต้องทนต่อสภาพต่างๆ ในฉากแอ็คชันที่ยาวนาน การใช้ลวดสลิง รวมถึงท่าต่อสู้ที่ออกแบบมาอย่างละเอียด แล้วยังต้องคิดว่านักแสดงใส่แล้วจะสบายหรือเปล่าด้วย ซึ่งอาจหมายถึงการต้องใส่ชุดทำความเย็นไว้ด้านในหรือเพิ่มชั้นเพื่อให้ความอบอุ่น และเครื่องแต่งกายต้องอยู่ได้ตลอดการถ่ายทำ คุณต้องคำนวณว่าต้องทำแบบเดียวกันออกมาทั้งหมดกี่ชุดและคำนึงถึงชุดในเวอร์ชันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบผ้าคลุมสั้น ไม่มีผ้าคลุม หน้ากากที่ยืดหยุ่นได้ รองเท้าบู๊ตสำหรับคิวบู๊...เป็นรายละเอียดที่จุกจิกมากครับ แต่ก็น่าพอใจเพราะช่วยให้ผมได้ไปยังจุดที่เครื่องแต่งกายไม่เคยไปถึงมาก่อน ได้สำรวจเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยให้เครื่องแต่งกายเหล่านี้ไม่เพียงแต่ดูดี แต่ยังเหมาะแก่การใช้งานด้วย"
แน่นอนว่าตัวละครทั้งสามยังต้องปรากฏตัวในอีกภาคหนึ่งเป็นคลาร์ก เคนต์, บรูซ เวย์น และไดอานา พรินซ์ ซึ่งวิลคินสันและทีมงานก็ต้องจัดชุดให้พวกเขาเช่นเดียวกัน "สำหรับชุดธรรมดาของคลาร์ก เราต้องการสิ่งที่ชวนให้นึกถึงเด็กหนุ่มมิดเวสต์จากแคนซัส ก็เลยใช้เนื้อผ้าที่อุ่นและอ่อนนุ่ม เช่น ผ้าวูล ผ้าลูกฟูก รวมถึงใช้สีน้ำตาลเอิร์ธโทนและลายสก็อต"
ด้วยรูปร่างของคาวิลล์ ทุกอย่างจึงต้องทำขึ้นใหม่หมด "เฮนรีมีรูปร่างที่ไม่ธรรมดา เราซื้อเสื้อผ้าขนาดมาตรฐานมาให้เขาใส่ไม่ได้หรอกครับ" วิลคินสันกล่าว "แต่เรารู้ดีว่าต้องใช้ผ้าและแบบชุดเพื่ออำพรางรูปร่างของเขา และช่วยให้เขา หรือที่จริงคือช่วยให้คลาร์กสามารถซ่อนตัวด้วยเสื้อผ้าเหล่านี้"
บรูซ เวย์นต้องการเสื้อผ้าที่ออกจะตรงกันข้าม "สิ่งที่ช่วยให้ผมนึกออกว่าบรูซเป็นใครและควรแต่งตัวอย่างไรคือการพูดคุยกับเบนตั้งแต่ช่วงแรกๆ" วิลคินสันกล่าว "เขามองว่าตัวละครนี้น่าจะเป็นคนเรียบง่ายมากๆ เขาเป็นคนประเภทที่ ถ้าคุณเดินเข้าไปในห้องเก็บเสื้อผ้า ก็จะเห็นเชิ้ตขาวพับเรียบร้อยอยู่แปดตัวกับสูทสีกรมท่ากับสีดำอีก 12 ตัว ที่จริงนั่นล่ะคือเครื่องแบบ นั่นล่ะคือตัวตนสมมติ ทั้งการแสร้งทำเป็นเศรษฐีเพลย์บอย นัดเดทกับสุดยอดนางแบบและขับรถหรู ทั้งที่จริงแล้วตัวเขาใกล้เคียงกับความเป็นแบทแมนมากกว่า"
เมื่อนักออกแบบได้ภาพในหัวแล้ว เขาก็หลีกเลี่ยงความฟู่ฟ่าและหันไปเน้นความเรียบหรูสง่างามให้กับบรูซ เวย์น "ผมออกแบบเสื้อผ้าทั้งหมดของเขาและเลือกผ้าเนื้อดีให้ ชุดสั่งตัดของบรูซเป็นฝีมือช่างตัดเสื้อชั้นเยี่ยมของ Gucci ในมิลาน และชุดก็เข้ากับรูปร่างเขาได้พอดีเป๊ะเลย"
อย่างไรก็ดี บรูซ เวย์น ไม่ใช่นักธุรกิจพันล้านเพียงคนเดียวในเรื่องนี้ คนที่อยู่ตรงข้ามกับบรูซ เวย์นในแทบทุกด้านก็คือเล็กซ์ ลูเธอร์ ตัวอย่างของผู้ประกอบการยุคใหม่วัยยี่สิบกว่าๆ ที่ดูแลอาณาจักรอันยิ่งใหญ่โดยไม่ได้สนใจการดำเนินธุรกิจที่พ่อของเขาทำมาในยุคก่อนเลย
"ทันทีที่เราเลือกเจสซี ไอเซนเบิร์กมาเป็นเล็กซ์ ผมรู้เลยว่าจะทำตัวละครนี้ให้ออกมาเป็นแบบไหน" วิลคินสันกล่าว "การทำงานนี้มีอิสระอยู่มากเพราะทีมงานเลือกนักแสดงให้ผิดจากแบบแผนทั่วไป ให้แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากเศรษฐีวอลล์สตรีทที่ใส่สูทสามชิ้นและเนคไทสีสดเข้มอย่างที่คนคิดกัน เล็กซ์ของเราเป็นนักธุรกิจหนุ่มสายไอทียุคศตวรรษที่ 21 ผมชอบที่เขามีรูปร่างซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากพวกซูเปอร์ฮีโร่กล้ามใหญ่ เห็นได้ชัดว่าพลังของเขาคือสติปัญญาไม่ใช่กล้ามเนื้อ แม้ว่าเขาจะร่ำรวยล้นฟ้าและใส่เสื้อผ้าสุดหรูได้สบายๆ แต่เขากลับสนุกกับการนำเอาของแพงมาจับคู่กับเสื้อยืดพิมพ์ลาย สูทลำลองสีสันสดใส และรองเท้าผ้าใบ คุณระบุลงไปไม่ได้ว่าเขาแต่งตัวสไตล์ไหน เขาชอบให้เป็นแบบนั้น"
วิลคินสันยินดีที่ได้มีโอกาสแต่งตัวให้ตัวละครสองตัวซึ่งสามารถซื้อของในระดับราคาเดียวกันแต่มีมุมมองที่แตกต่างกันมากในการเลือกเสื้อผ้า "เรามองว่าเล็กซ์อาจเป็นเหมือนมิค แจ็กเกอร์ผสมกับผู้ประกอบการในซิลิคอน แวลลีย์ เป็นอารมณ์ประมาณนั้น ผมคิดว่าเป็นมุมมองที่น่าประหลาดใจและท้าทายมากสำหรับตัวละครนี้"
ในการออกแบบเสื้อผ้าปกติของไดอานา พรินซ์นั้น วิลคินสันกล่าวว่าเขาต้องฝืนความอยากที่จะ "ใช้แฟชั่นชั้นสูงหรือหรูหราฟู่ฟ่าเกินไป เราต้องการให้เสื้อผ้าสำหรับกัลดูงดงามน่าประทับใจและมีเอกลักษณ์ แต่ก็วางพื้นฐานอยู่บนบุคลิกของเธอและความเป็นจริงในหนัง"
นักออกแบบจึงเน้นไปยังความสง่างามมีรสนิยมแบบยุโรป และปล่อยให้ความงามของนักแสดงโดดเด่นผ่านการใช้สีสันให้น้อยที่สุด "เธอใส่เสื้อผ้าสีพื้น โครงชุดที่ชัดเจน และเครื่องประดับที่โดดเด่น ทั้งหมดนี้สื่อให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดและคล้ายจะบอกว่าเธอเป็นคนที่คุณไม่ควรไปหาเรื่องด้วย เสื้อผ้าจำเป็นต้องสื่อถึงความเข้มแข็งมากกว่าแค่ประดับร่างกาย"
แน่นอน เราทุกคนรู้ดีว่าวันเดอร์วูแมนมีชื่อเสียงเรื่องเครื่องประดับของเธอ แต่ไม่ว่าเธอหรือแบทแมนก็ไม่อาจพร้อมออกรบได้หากขาดคลังแสงของตัวเอง
มนุษย์ตกลงมาจากฟากฟ้าและทวยเทพก็ขว้างสายฟ้าลงมา…
นั่นล่ะจุดเริ่มต้น
—อัลเฟรด
>> เทคโนโลยีจากของจริงและจินตนาการ (ผ่านซีจี) <<
สิ่งที่ติดตัววันเดอร์วูแมนตลอดเวลาคือมงกุฎ สร้อยข้อมือของชาวแอมะซอน บ่วงแห่งความจริง ดาบ และโล่ ด้วยการออกแบบและผลิตภายใต้การดูแลอย่างพิถีพิถันของผู้จัดการอุปกรณ์ประกอบฉาก ดั๊ก ฮาร์ล็อคเกอร์ ดาบเล่มนี้ก็ได้แอบสลักข้อความส่วนหนึ่งของโจเซฟ แคมป์เบลล์ที่ผู้กำกับแซ็ค สไนเดอร์ชอบเอาไว้เช่นเดียวกับเกราะของซูเปอร์แมน แต่คราวนี้สลักเป็นข้อความภาษาเวนิซลงที่ร่องดาบ รูปนกอินทรีซึ่งเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งในตำนานของตัวละครนี้ตกแต่งอยู่ที่ส่วนบนสุดของดาบ และปรากฏอยู่จางๆ แทบจะมองไม่เห็นที่ด้านหน้าของโล่ซึ่งผ่านการใช้งานมานานด้วย
แต่คนที่ต้องอาศัยอาวุธยุทโธปกรณ์มากที่สุดก็คือแบทแมน มนุษย์ธรรมดาเพียงคนเดียวในเหล่าฮีโร่ทั้งสาม ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์อย่างเครื่องยิงตะขอเกี่ยว เครื่องยิงลูกระเบิด แบททาแรง (Batarangs - อาวุธลับรูปค้างคาวสำหรับใช้ขว้าง) และปืนยาวสไนเปอร์ซึ่งใช้ยิงลูกดอกและอุปกรณ์ GPS ติดตามตัว นับได้ว่าเขามีคลังอาวุธที่น่าอิจฉาทีเดียว
แล้วเขายังบินได้ด้วยแบทวิงซึ่งมีน้ำหนักเบาและคล่องตัว รวมทั้งสามารถห้อยตัวเหมือนตัวการ์กอยล์ในถ้ำค้างคาวและบินโฉบเหนือเมืองก็อธแธมและบริเวณโดยรอบได้อย่างง่ายดาย ทว่าเท่าที่ผ่านมาสิ่งที่ดึงดูดความสนใจได้มากที่สุดมาตลอดก็คือรถที่เขาขับ แบทโมบิล
เช่นเดียวกับชุดของแบทแมน แบทโมบิลสะท้อนถึงรูปแบบการต่อสู้ที่ดิบเถื่อนของฮีโร่รายนี้ รถคันนี้ออกแบบโดยนักออกแบบงานสร้าง แพทริค ทาโทพูลอส ผู้กำกับศิลป์ เควิน อิชิโอกะ และศิลปินคอนเซ็พต์ เอ็ด นาทิวิแดด และนักออกแบบยานพาหนะในกองถ่าย โจ ฮิอุระ จากนั้นจึงได้รับการสร้างโดยเดนนิส แม็คคาร์ธีย์จาก Vehicle FX ในซันแวลลีย์ แคลิฟอร์เนีย ยานพาหนะน้ำหนัก 8800 ปอนด์นี้ใช้เวลากว่าหนึ่งปีในการพัฒนา ทดสอบ และปรับแต่งก่อนพร้อมใช้ถ่ายทำจริง
"แบทโมบิลเป็นสิ่งแรกที่ผมออกแบบให้หนังเรื่องนี้และกลายเป็นเครื่องมือที่ผมใช้กำหนดรูปลักษณ์การออกแบบสำหรับแบทแมน" ทาโทพูลอสกล่าว
"มันมหัศจรรย์จริงๆ ค่ะ" เดโบราห์ สไนเดอร์กล่าว "รถคันนี้เท่มากและมันวิ่งได้อย่างที่คุณจะไม่มีทางเชื่อเลย ฟังดูน่าเหลือเชื่อ แบทโมบิลที่เคยทำกันมาก็เจ๋งมากอยู่แล้ว คุณจะทำให้เหนือกว่าได้ยังไงกันล่ะ นี่เป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่งเลย มันมีความเป็นทหาร ดูผ่านศึกมามาก แล้วก็เป็นยานพาหนะที่ยอดเยี่ยมดีงามในหลายๆ ด้าน"
แต่รถคันนี้มีมูลค่าสูงเกินไปที่จะใช้ขับชนกำแพงหรือพลิกหมุน สำหรับการใช้งานที่หนักขึ้น ทีมงานได้สร้างรถตัวแทนขึ้นมาสองคัน ได้แก่ รถ Dodge Ram Duallys ที่รื้อส่วนประกอบต่างๆ ออกแล้วทีมสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ก็ติดตั้งโครงท่อเพื่อปกป้องคนขับสตันท์ และติดแผ่นโลหะให้ได้ใกล้เคียงกับขนาดของแบทโมบิล จากนั้นทีมงานของผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟ็กต์ ดีเจ เดส์ชาร์แดงจะเรนเดอร์ภาพแบทโมบิลเข้าไปในขั้นตอนหลังการถ่ายทำ
สำหรับฉากที่ใช้รถแบทโมบิลจริงนั้น สตันท์แมน ไมค์ จัสทัส เป็นผู้นั่งอยู่หลังพวงมาลัย "ผมได้รับอนุญาตแค่ให้หยุดรถเท่านั้นเองครับ" เบน แอฟเฟล็กหัวเราะ "ผมอยากเล่นฉากชนและฉากยิงเหมือนกัน แต่รถมีมูลค่าสูงเกินไป"
แม้กระทั่งเจเรมี ไอออนส์ก็ยังตะลึงกับยานพาหนะคันนี้ "ครั้งแรกที่ผมเห็นแบทโมบิล ผมล่ะอึ้งไปเลย ตอนนั้นเราอยู่ที่ฉากภายนอก" เขาเล่า "แต่พอมันมาจอดอยู่ในโรงช่างของผมที่ถ้ำค้างคาว นั่นล่ะครับที่เจ๋งไปเลย" นักแสดงรายนี้ตื่นเต้นที่ได้มีโอกาสจับพวงมาลัยของรถยนต์อันเป็นเอกลักษณ์คันนี้ด้วย "ผมอยากลองหมุนรถเป็นรูปโดนัทด้วยแบทโมบิลและดูซิว่าผมสามารถทำให้ล้อหน้ายกขึ้นจากพื้นได้รึเปล่า แต่ผมรู้ดีว่าควรส่งมันกลับคืนไปในสภาพที่เหมาะสม ก็เลยยั้งตัวเองไว้ก่อน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ได้มันสุดๆ ไปเลยล่ะครับ!"
เพื่อช่วยทีมวิชวลเอฟเฟ็กต์ในขั้นตอนหลังการถ่ายทำ รถแบทโมบิลได้รับการสแกนโดย Scanline เพื่อกำหนดจุดอ้างอิงที่จำเป็น นักแสดงก็ได้รับการสแกนเช่นกัน โดยใช้บริการของ Light Stage ผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ใหม่เอี่ยมของทางบริษัท เทคโนโลยีที่บุกเบิกใหม่และสร้างโดย Light Stage และ Gentle Giant Studios นี้สร้างภาพโฮโลแกรมของตัวแบบและแก้ปัญหาเรื่องการต้องส่งตัวนักแสดงไปยังสำนักงานใหญ่ของบริษัทเพื่อรับการสแกน จึงช่วยประหยัดเวลาไปได้มาก เครื่องมือเคลื่อนที่ขนาดเล็กนี้สามารถส่งไปได้ทุกที่ที่มีการถ่ายทำหนัง ติดตั้งในวันเดียว และสามารถนำมาใช้เมื่อนักแสดงพักระหว่างฉาก การสแกนบางครั้งใช้เวลาเพียง 20 นาที
"เดี๋ยวนี้คุณทำอะไรได้มากมายด้วยวิชวลเอฟเฟ็กต์" เดโบราห์ สไนเดอร์กล่าว "แต่ฉันคิดว่าเคล็ดลับก็คือการจับคู่วิชวลเอฟเฟ็กต์กับของจริง หนังของเราเน้นความเป็นจริงมาตลอดอยู่แล้ว การสร้างฉากและอุปกรณ์ประกอบฉากช่วยให้หนังมีความสมจริงอย่างที่ซีจีไม่อาจทำได้ ดังนั้นเมื่อตัวละครของเราทำสิ่งที่มหัศจรรย์ในโลกแห่งความเป็นจริง มันก็จะดูน่ามหัศจรรย์ยิ่งขึ้นอีกเพราะมันดูเหมือนเกิดขึ้นจริงยิ่งกว่าเดิมมากนั่นเอง"
แซ็ค สไนเดอร์ ผู้นิยมของจริงมากกว่าภาพจินตนาการ มองว่ามีพื้นที่ให้ทั้งสองส่วนนี้ในหนังอย่าง "Batman v Superman: Dawn of Justice" เขากล่าวว่า "ผมเป็นคนที่ชอบการผสมผสาน ผมใช้คอมพิวเตอร์เพื่อแก้ปัญหา แล้วผมก็ไม่ได้กลัวซีจี มันเป็นเครื่องมือที่ดีเยี่ยม ผมไม่ได้แบ่งแยกอะไร ทั้งหมดขึ้นอยู่กับช็อตนั้นๆ ดีเจกับผมทำงานด้วยกันมานาน เราเชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายจะทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อให้ทุกฉากมีพลังมากที่สุดในสายตาคนดู"
คุณจะไปออกสงครามเหรอ
—อัลเฟรด
ไอ้เวรนั่นต่างหากที่นำสงครามมาหาเรา
—บรูซ เวย์น
>> คู่อริข้ามเมือง <<
ในการนำแบทแมนและซูเปอร์แมนมารวมอยู่ในหนังเรื่องเดียวกันนั้น ทีมผู้สร้างตัดสินใจว่าแทนที่จะให้เหตุการณ์เกิดขึ้นในอาณาเขตของใครคนใดคนหนึ่ง ทีมงานจะใช้เมืองซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของทั้งสองเรื่อง นั่นก็คือก็อธแธมและเมโทรโพลิส
"เราคิดว่าการสร้างให้เมืองสองแห่งนี้เป็นเมืองคู่แค้นกันจะสอดคล้องเป็นอย่างดีกับความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันระหว่างแบทแมนกับซูเปอร์แมน" ชาร์ลส์ โรเวน กล่าว "เมโทรโพลิสและก็อธแธมเป็นเหมือนเมืองบ้านพี่เมืองน้อง อยู่คนละฝั่งของอ่าวเดียวกัน ค่อนข้างคล้ายนิวยอร์กซิตี้และบางส่วนของนิวเจอร์ซีย์ริมฝั่งแม่น้ำฮัดสัน เมโทรโพลิสเป็นมหานครมากกว่า ขณะที่ก็อธแธมดูดิบกว่า"
หนังเรื่องนี้ถ่ายทำในเมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกนและพื้นที่โดยรอบ โดยมีบางฉากถ่ายทำกันในเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ และฉากที่ฟาร์มของครอบครัวคลาร์กถ่ายทำที่ยอร์กวิลล์ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลเหมือนเช่นเคย ด้วยความที่แซ็ค สไนเดอร์นิยมการถ่ายทำจากของจริง ฉากส่วนใหญ่จึงถ่ายทำในสถานที่จริงหรือฉากขนาดใหญ่ โดยฉากขนาดใหญ่ที่สุดคือถ้ำค้างคาว อันเป็นผลงานทางวิศวกรรมที่แม้แต่สถาปนิกที่กล้าที่สุดก็ยังต้องประทับใจ
"แนวคิดหลักสำหรับถ้ำค้างคาวคือทุกอย่างถูกแขวนเอาไว้" ทาโทพูลอสอธิบาย "ทุกอย่างห้อยอยู่เหมือนค้างคาว ไม่มีโครงสร้างรองรับจากด้านล่าง แม้กระทั่งภายในโรงช่าง โต๊ะทำงานทุกตัวลอยอยู่ในอากาศ สิ่งเดียวที่แตะพื้นคือเก้าอี้ อาคารนี้ไม่แตะพื้นเลยด้วยซ้ำไป ทั้งหมดมีคานยื่นรับน้ำหนักอยู่ภายนอก"
ถ้ำแห่งนี้ประกอบด้วยกลุ่มพื้นที่ทรงลูกบาศก์ที่เชื่อมถึงกันด้วยบันไดลอยและล้อมรอบด้วยผนังกระจกที่แขวนอยู่โดยใช้ระบบใยแมงมุม ซึ่งก็คือใช้กรอบที่ยึดกระจกไว้เฉพาะด้านล่างและด้านบน กรอบนี้ยึดเอาไว้ด้วยท่อเหล็กซึ่งทาสีให้กลืนไปกับสีเทาเข้มของผนังถ้ำซึ่งไม่ได้ตกแต่งเพิ่มเติม น้ำไหลตามผนังถ้ำลงมายังบ่อขนาดเล็กใต้สะพานระหว่างกล่องกระจกสองกล่อง ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นกล่องกระจกลูกบาศก์ที่ถูกบีบลงมาอยู่ในถ้ำที่มีอยู่เดิม นักออกแบบเน้นความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ มีความเป็นมินิมัล และอึดอัดคับแคบ สร้างโดยชายผู้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติความเป็นสัตว์ในตัวเขาแต่กลับรู้สึกว่าตนเองถูกบดขยี้ด้วยสิ่งนั้นเช่นกัน
แนวคิดมินิมัลลิสต์นี้ต่อเนื่องไปยังพื้นที่ด้านบนในเรือนกระจกหลังเล็กริมทะเลสาบซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาเบื้องล่างของคฤหาสน์ตระกูลเวย์น (Wayne Manor) ซึ่งกลวงโล่งและผุพัง "เรือนกระจกสะท้อนแนวคิดคล้ายรอยเท้าที่บางมากๆ" ทาโทพูลอสกล่าว "เรือนหลังนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติราวกับว่ามันแทบไม่ได้อยู่ที่นั่น ไม่ว่าคุณจะมองไปทางไหน คุณก็จะอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ผมได้แรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมของมีส ฟาน เดอร์ โรห์ และบ้านหลังนี้ก็สร้างขึ้นจากแนวคิดที่ว่าพ่อของบรูซอาจให้ฟาน เดอร์ โรห์ เป็นคนออกแบบ" ภายในบ้านมีเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นและตามผนังครัวก็มีเพียงสิ่งจำเป็น แค่ชั้นวางไวน์ ตู้เย็น อ่างล้างจาน เตา และเครื่องทำกาแฟ เป็นสภาพแวดล้อมที่เรียบง่ายสำหรับผู้ชายซึ่งสนใจเพียงสิ่งเดียว คือการต่อสู้กับอาชญากรรม และแทบไม่มีสิ่งอื่นใดที่ยึดเขาไว้กับโลกภายนอก
เรือนกระจกหลังนี้สร้างขึ้นในค่ายเนตรนารีเก่าที่มิชิแกนซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำหลายฉาก เมืองดีทรอยต์ช่วยให้ทีมผู้สร้างมีอิสระและมีพื้นที่ในการถ่ายทำหนังกลางแจ้งตามท้องถนนจริงๆ มากยิ่งขึ้น "เราถ่ายฉากสถานที่ในก็อธแธมหลายส่วนที่ใจกลางเมืองดีทรอยต์" เดโบราห์ สไนเดอร์กล่าว "เราได้ความสมจริงจากความเก่าแก่ของเมือง ตึกรามบ้านช่องที่ตั้งอยู่ตรงนั้นและเคยผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มามากมาย ฉันคิดว่าสถานที่เหล่านี้มีความสมจริงซึ่งการสร้างฉากยากที่จะเทียบได้"
ฉากการขับรถไล่ล่ากันอย่างยาวนานใช้เวลาถ่ายทำเจ็ดวันและใช้โรงกลั่นน้ำมันดีทรอยต์รวมถึงอู่เรือเป็นฉากส่วนหนึ่งด้วย "ที่นั่นดูหม่นหมองหดหู่และมีฝนโปรยเล็กน้อยซึ่งดูดีมากในหนัง" เธอกล่าวต่อ "เราถ่ายทำของจริงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ รวมถึงถึงฉากการระเบิดและรถพลิกคว่ำ"
พิพิธภัณฑ์บรอด (Broad Museum) ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตทในอีสต์แลนซิง ใช้เป็นฉากแมนชั่นของเล็กซ์ ลูเธอร์ สำนักงานศาลเทศมณฑลเวย์น (Wayne County Courthouse) ซึ่งสร้างขึ้นหลังสงครามกลางเมืองเป็นสถานที่ถ่ายทำสำหรับฉากต่างๆ ของก็อธแธมและวอชิงตันดีซี สถานีรถไฟแกรนด์เซ็นทรัลอันเก่าแก่ใช้ถ่ายทำฉากต่อสู้สำคัญของเรื่อง หนังเรื่องนี้ยังถ่ายทำบางส่วนในนิวเม็กซิโกซึ่งใช้เป็นฉากแทนแอฟริกาเหนือ และเกาะโบรา โบราซึ่งใช้แทนเกาะในมหาสมุทรอินเดียอีกด้วย
เพื่อถ่ายทอดโลกอันยิ่งใหญ่นี้ ผู้กำกับสไนเดอร์ใช้บริการของผู้กำกับภาพ แลร์รี ฟง ซึ่งเขาเคยทำงานด้วยหลายครั้ง "เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นครับที่ได้ทำงานภาพให้หนังเรื่องนี้" ฟงกล่าว "แซ็คมีสไตล์เป็นของตัวเองอย่างชัดเจนแต่เขาก็ไม่กลัวที่จะลองสิ่งใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน"
ขณะที่งานถ่ายทำใน "Man of Steel" ใช้กล้องแฮนด์เฮลด์เป็นหลัก ฟงกล่าวว่าในหนังเรื่องนี้สไนเดอร์ต้องการเปลี่ยนแนวทาง ฟงจึงใช้แนวทางแบบดั้งเดิมมากยิ่งขึ้น โดยเน้นการใช้ดอลลี่ เทคโนเครน และสเตดีแคม "การออกแบบช็อตด้วยเครื่องมือเหล่านี้เป็นการทำงานที่ดีครับ เราต้องการภาพที่ดูเป็นธรรมชาติแต่เน้นอารมณ์ให้มากขึ้น นั่นเป็นบรรยากาศแบบที่เราต้องการ"
แต่ความหลากหลายของการออกแบบช็อตก็ยังต้องหลีกทางให้ความหลากหลายของฟอร์แมต "ในตอนแรกที่เราคุยกันเรื่องฟอร์แมต แซ็คอยากได้ฟอร์แมตแบบ 35 มม. anamorphic โดยใช้กล้องตัวเดียว แต่สุดท้ายแล้วเราก็ถ่ายทำด้วยฟิล์ม 16 มม., 35 มม. anamorphic, 35 มม. spherical, 65 มม., GoPro, ดิจิตัล และ IMAX" ฟงหัวเราะ
ผู้กำกับภาพรายนี้กล่าวว่า IMAX กลายเป็นความท้าทายประการสำคัญที่สุด "กล้อง IMAX มีขนาดใหญ่และหนัก รวมถึงมีระยะชัดลึกที่ตื้นมาก และแซ็คก็ชอบเคลื่อนกล้องเยอะด้วย" เขาเสริม "เราก็เลยต้องก้าวข้ามขีดจำกัดไปให้ได้ เราใช้การเคลื่อนกล้องที่ซับซ้อน และแม้กระทั่งถือกล้องนี้ด้วยมือ ตากล้องของเรา จอห์น โคลเธียร์ และผู้ช่วยตากล้องคนที่หนึ่ง บิลล์ โค สุดยอดมาก ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นยอดเยี่ยม คุณจะรู้สึกได้ถึงขอบเขตความกว้างอันมหาศาลของฟอร์แมตนี้"
สิ่งที่ช่วยเพิ่มความประทับใจให้หนังก็คือดนตรีประกอบโดยฮานส์ ซิมเมอร์ และจังคี เอ็กซ์แอล ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อนำเสนอผลงานดนตรีที่ควรค่าแก่ซูเปอร์ฮีโร่ผู้โด่งดังบนจอภาพยนตร์ เพื่อเริ่มต้นกระบวนการ ซิมเมอร์กล่าวว่า "ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นเมื่อแซ็คเข้ามาในห้องแล้วพูดว่า 'ผมอยากเล่าเรื่องให้พวกคุณฟัง' สำหรับเรา นั่นเป็นวิธีการที่ดีในการเข้าสู่โลกใบนั้น"
การนำเพลงธีมจาก "Man of Steel" มาใช้ในฉากของซูเปอร์แมน รวมถึงฉากของคลาร์กและโลอิสถือเป็นกุญแจสำคัญสำหรับนักแต่งเพลงซึ่งต้องการให้ผู้ชมคุ้นเคยกับโลกที่ขยายกว้างออกไปของฮีโร่รายนี้ "เรานำแนวคิดที่ฮานส์กำหนดไว้ในซูเปอร์แมนภาคที่แล้วกลับมาใช้ รวมถึงการใช้กีตาร์สตีล (steel guitar) และการตีกลองกลุ่ม (drum circle) ซึ่งแสดงถึงการยกย่องพลังของตัวละคร อันเป็นประเด็นถกเถียงสำคัญในหนังเรื่องนี้" จังคี เอ็กซ์แอลกล่าว "เรานำมันมาตีความใหม่เล็กน้อยและผมคิดว่าเราทั้งคู่ก็ยินดีที่มันใช้การได้ดีมากในภาคนี้"
นักแต่งเพลงทั้งสองร่วมกันแต่งเพลงธีมใหม่ให้แบทแมน ซิมเมอร์กล่าวว่าเขาพบว่าตัวละครตัวนี้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นเมื่อมุ่งความสนใจไปยังตัวตนอีกด้านหนึ่งของเขา "ผมให้ความสนใจในตัวบรูซ เวย์นเป็นพิเศษ มีความโกรธภายในตัวเขาและเขาก็มีเสน่ห์ดึงดูดใจมาก จนผมตั้งเป้าหมายว่าจะต้องถ่ายทอดอารมณ์เหล่านั้นออกมา ผมพยายามคิดหาทางว่าทำอย่างไรจึงจะเขียนเพลงธีมที่เต็มไปด้วยความกำกวม แต่ยังคงบอกใบ้ความรู้สึกของตัวละครที่ไม่มั่นคงตัวนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าความมืดอาจเป็นความสว่างได้...คุณไม่มีทางรู้หรอก"
สำหรับการเปิดตัวของวันเดอร์วูแมน ซิมเมอร์และจังคี เอ็กซ์แอลได้แต่งเพลงแนวชนเผ่าโดยมีจุดสำคัญอยู่ที่เสียงเชลโลไฟฟ้าอันโดดเด่นจากฝีมือนักเชลโล ทีนา กัว ซิมเมอร์กล่าวว่า "เช่นเดียวกับไดอานา พรินซ์ ทีนามีความสง่างาม แล้วเมื่อเธอหยิบเชลโลหรือหยิบดาบของเธอขึ้นมา เธอก็จะกลายเป็นวิญญาณอันดุร้ายที่ถูกปลดปล่อย เป็นนักรบเหมือนกับวันเดอร์วูแมน ครั้งแรกที่ผมเล่นเพลงนี้ให้แซ็คกับเดบบีฟัง เห็นได้ชัดเลยว่าทั้งคู่ตกใจในทางที่ดี คุณต้องการอะไรแบบนี้ล่ะครับ เป็นความประหลาดใจในแบบที่กำลังพอดี"
เมื่อองค์ประกอบทุกอย่างในหนังลงตัวแล้ว แซ็ค สไนเดอร์พบว่า "สิ่งที่ผมตื่นเต้นที่สุดคือใน 'Batman v Superman' เรามีโอกาสได้นำเอาสุดยอดฮีโร่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์คอมิกมาอยู่รวมกันบนจอภาพยนตร์ในโลกที่กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยเรื่องราวความเป็นมาและการผจญภัยที่แตกต่างกันได้รับการถักทอเข้าด้วยกันภายใต้ความหลากหลายในจักรวาลของ DC เมื่อคุณพูดถึงแบทแมน เมื่อคุณพูดถึงซูเปอร์แมน เมื่อคุณพูดถึงวันเดอร์วูแมน ชื่อเหล่านี้ต่างเป็นชื่อที่ผู้คนรู้จักและหลงรัก การได้เห็นฮีโร่เหล่านี้ได้มีปฏิสัมพันธ์กันและนำการผจญภัยของพวกเขามารวมเข้าด้วยกัน นั่นเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อซึ่งผมคิดว่าทุกคนคงตื่นเต้นอยากเห็นกัน"