กรุงเทพฯ--23 มี.ค.--นิชคาร์กรุ๊ป
บริษัท นิช คาร์ กรุ๊ป จำกัด ผู้นำเข้ารถยนต์ระดับซุปเปอร์คาร์ สปอร์ตคาร์ และไฮเปอร์คาร์ อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ส่งซุปเปอร์คาร์สุดหรูตัวท้อปร่วมอวดโฉม ในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 37 ระหว่างวันที่ 23 มีนาคม – 3 เมษายน 2559 ณ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี
กระทิงดุจากแดนอิตาลี แลมโบร์กินี อเวนทาดอร์ LP700-4 แบบคูเป้ราคาเริ่มต้น 38.5 ล้านบาท และแบบโรดสเตอร์ ราคาเริ่มต้น 40.5 ล้านบาท บรรจุเครื่องยนต์ 12 สูบ น้ำหนักแห้งอยู่ที่ 1,575 กิโลกรัม พละกำลัง 700 แรงม้า (515 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 690 นิวตันเมตร แข็งแกร่งที่สุด เท่าที่แลมโบร์กินีเคยสร้างมา แรงและเร้าใจด้วยอัตราการเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 2.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม. ด้วยประสิทธิภาพของระบบเกียร์ 7 speed ISR เปลี่ยนเกียร์ใช้เวลาเพียง 50 มิลลิวินาที นอกจากนี้ ผู้ขับสามารถเลือกที่เมนูการขับได้สามแบบ Strada, Sport และ Corsa โดยสามารถปล่อยให้เกียร์เปลี่ยนเองอัตโนมัติหรือเปลี่ยนด้วยตนเอง ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Permanent all-wheel drive พร้อมกับชุดเพลาขับ Haldex generation IV กระจายกำลังไปที่ล้อหน้าได้มากถึง 60% การรีสตาร์ทเครื่องยนต์ ใช้เวลาเพียง 180 มิลลิวินาที ช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
แลมโบร์กินี ฮูราคาน LP610-4 ราคาเริ่มต้น 24.8 ล้านบาท สำหรับแบบสไปเดอร์ ราคาเริ่มต้น 26.8 ล้านบาท พละกำลังสูงสุด 426/580 กิโลวัตต์ ที่ 8,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 540 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบต่อนาที ความเร็วสูงสุด 325 กม./ชม. เร่งเครื่อง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 3.4 วินาที น้ำหนักแห้งอยู่ที่ 1,389 กิโลกรัม นอกจากนี้ ยังมี แลมโบร์กินี ฮูราคาน LP580-2 ราคาเริ่มต้นที่ 22.5 ล้านบาท ที่นำมาเปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2015 ที่ใช้เครื่องเดียวกันหากแต่ทอนแรงม้าให้เหลือ 580 แรงม้า ให้เหมาะกับการขับเคลื่อนล้อหลัง แต่ยังพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถขับได้ทุกวัน เพื่อให้เหมาะกับความสนุกหากแต่ยังทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 320 กม.ต่อชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 อยู่ที่ 3.4 วินาที ควบคุมด้วยระบบ Lamborghini Dynamic Steering เพื่อเพิ่มความสนุกในการขับขี่
สำหรับหลายท่านคงได้เคยเห็นดีไซน์ของ LP 580-2 แล้วว่าถูกออกแบบมาให้ดูวัยรุ่นขึ้น เปิดให้จองในราคาเริ่มต้นเพียง 22.8 ล้านบาท ใช้ระบบหยุดการทำงานของกระบอกสูบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์เป็นครั้งแรก ในเครื่องยนต์ V10 โดย 5 สูบ จากทั้งหมด 10 กระบอกสูบจะหยุดทำงาน เมื่อเครื่องยนต์ไม่ได้ใช้งานเต็มกำลัง และจะสวิตซ์กลับมาที่ระบบ 10 สูบ เมื่อมีการเร่งเครื่องยนต์ระบบนี้จะช่วยประหยัดอัตราการเผาผลาญเชื้อเพลิงและการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ได้กว่า 283 ก./กม.
ร่วมด้วยสุดยอดรถแข่งฟอร์มูล่าวันจากอังกฤษ แมคลาเรน 650S อยู่ในรุ่นซุปเปอร์ซีรียส์ของแมคลาเรน โดยแบบคูเป้ ราคาจะเริ่มต้นที่ 31.5 ล้านบาท และสไปเดอร์ เริ่มต้น 32.5 ล้านบาท ใช้เครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบรุ่นพิเศษ M838T ซึ่งให้กำลัง 650 แรงม้า และ แรงบิด 678 นิวตันเมตร สามารถเร่งความเร็ว 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 3 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 329 กม./ชม. ส่วนอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ที่ 11.7 ลิตร/100 กม. และอัตราไอเสียที่ 275 กรัม/กม. มีน้ำหนักรวม 1,370 กก. (ไม่รวมเชื้อเพลิง) สำหรับสไปเดอร์ และเพิ่มขึ้นเพียง 40 กก. เมื่อเป็นแบบรถคูเป้ ซึ่งเกิดจากการเพิ่มชิ้นส่วนหลังคาแข็งแบบพับและกลไกส่วนหลังคา หากก็ยังถือว่ามีน้ำหนักที่เบากว่ารถยนต์รุ่นอื่นในคลาสเดียวกัน หลังคาแข็งแบบพับสองชิ้นสามารถปรับขึ้นและลงได้ภายในเวลา 17 วินาที โดยปรับได้ทั้งในขณะหยุดนิ่งและขณะรถเคลื่อนด้วยความเร็วสูงถึง 30 กม./ชม.
แมคลาเรน 570S ราคาเริ่มต้นที่ 22.5 ล้านบาท รุ่นแรกในสปอร์ตซีรียส์ ของตระกูลแมคลาเรน ได้รับรางวัล รถยนต์สุดยอดสมรรถนะ (Best Performance Car) ในงานประกาศรางวัล รถยนต์สหราชอาณาจักรประจำปี 2559 (2016 UK Car of the Year Awards -UKCotY) พิจารณาและตัดสินโดยสื่อมวลชนของสหราชอาณาจักร จำนวน 27 ท่าน ถือเป็นหลักชัยแห่งความสำเร็จในฐานะโมเดลแรกในสปอร์ตซีรียส์ พัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถขับได้ในทุกวัน พร้อมด้วยราคาที่เข้าถึงได้ ดีไซน์แบบ "Shrinkwrapped" เพิ่มประสิทธิภาพการระบายอากาศตลอดตัวถัง โครงสร้างตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์แบบ MonoCell II ยังสร้างรูปลักษณ์ที่โดดเด่น และเอื้อในการเข้า-ออกตัวรถ ประตูผลิตจากอลูมิเนียมเป็นหลักเพื่อลดน้ำหนักและเพื่อการออกแบบทางอากาศพลศาสตร์ที่ประณีต น้ำหนักตัวรถเปล่ามีน้ำหนักเบาอยู่ที่ 1,313 กิโลกรัม เร่งเครื่อง 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.2 วินาที ด้วยความเร็วสูงสุด 328 กม./ชม. เครื่องยนต์ 3.8 ลิตร V8 ทวินเทอร์โบ M838TE ชิ้นส่วนผลิตขึ้นพิเศษกว่า 30% ให้พละกำลัง 570 แรงม้า ที่ 7,400 รอบต่อนาที แรงบิด 600 นิวตันเมตรอยู่ที่ 5,000-6,500 รอบต่อนาที ระบบการขับขี่ล้อหลังเครื่องยนต์ขนาดกลางเอื้อให้การบังคับและความคล่องตัวดีขึ้น ให้พละกำลังมหาศาลผ่านเกียร์แบบ 7 speed (SSG) ระบบ Stop-start นำมาใช้ในแมคลาเรนเป็นครั้งแรก เอื้อการขับขี่ในเมือง และยังมีการปรับปรุงอัตราการกินน้ำมันอยู่ที่ 25.5 mpg และการปล่อยมลพิษ 258 กรัมต่อกิโลเมตร
หากต้องการข้อเพิ่มเติมเกี่ยวกับนิชคาร์กรุ๊ป สามารถติดต่อ ที่ โทร 02-321-1111 โดยโชว์รูมเปิดบริการทุกวัน จันทร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 8.30 – 17.30 น.