กรุงเทพฯ--30 มี.ค.--124 คอมมิวนิเคชั่นส คอนซัลติ้ง
บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มชั้นนำระดับโลกในเครือเป๊ปซี่โค อาทิ เป๊ปซี่ เมาเทนดิว มิรินด้าและเซเว่น-อัพ นำโดยนายปริญญา กิจจาธนพันธ์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจอินโดจีน (ที่ 2 จากขวา) และนายจา-กรูท โคเตชา กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจเครื่องดื่มประเทศไทย (ที่ 2 จากซ้าย) ประกาศเดินหน้าเปิดตัวโรงงานผลิตเครื่องดื่มแห่งที่สองของเป๊ปซี่โคในประเทศไทย ณ นิคมอุตสาหกรรมหนองแค จังหวัดสระบุรี เพื่อเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งของธุรกิจเครื่องดื่มที่ยังเติบโตต่อเนื่องและรองรับการขยายพอร์ตโฟลิโอในระยะยาว โดยเริ่มเดินเครื่องสองไลน์แรกเร่งดันยอดผลิตแบบเต็มสูบสูงกว่าเดิมถึง 30% มั่นใจพร้อมรับดีมานต์ความต้องการบริโภคน้ำอัดลมพุ่งในช่วงหน้าร้อน พร้อมเตรียมลงทุนต่อเนื่องเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเป็นสองเท่าจากโรงงานแรก
นายจา-กรูท โคเตชา กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจเครื่องดื่มประเทศไทย กล่าวว่า "นับตั้งแต่ปี 2555 ที่เป๊ปซี่โคได้ปรับรูปแบบธุรกิจมาเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายด้วยตัวเอง โดยลงทุนสร้างโรงงานผลิตเครื่องดื่มแห่งแรกในประเทศไทย ณ ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยองนั้น ธุรกิจเครื่องดื่มของเรามีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านยอดขายและส่วนแบ่งการตลาด ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมในประเทศไทยที่มีมูลค่ากว่า 50,000 ล้านที่มีการเติบโตประมาณ 5 – 6 %* ล่าสุดเราได้เดินหน้าเพิ่มการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยได้ก่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องดื่มแห่งที่สองขึ้น เพื่อมุ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความได้เปรียบในการรุกตลาดเครื่องดื่ม ทั้งยังเป็นการรองรับการขยายพอร์ตโฟลิโอของเราในระยะยาว"
โรงงานผลิตเครื่องดื่มแห่งที่สองของเป๊ปซี่โคนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ 104 ไร่ (หรือ 166,400 ตร.ม.) ภายในนิคมอุตสาหกรรมหนองแค จังหวัดสระบุรี ซึ่งมีความได้เปรียบในเรื่องสถานที่ตั้งเนื่องจากเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าไปยังทั่วประเทศ เพียบพร้อมไปด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง ควบคุมการผลิตด้วยระบบควบคุมอัติโนมัติ สามารถรองรับการติดตั้งไลน์การผลิตความเร็วสูงได้สูงสุดถึง 8 สาย ทั้งในรูปแบบขวดพีอีทีและกระป๋อง สำหรับในเฟสแรกได้มีการติดตั้งไลน์การผลิตแล้วจำนวน 2 สายเพื่อผลิตเครื่องดื่ม "เป๊ปซี่" ในรูปแบบขวดพีอีที มีกำลังการผลิตสูงสุดถึง 800 ขวดต่อนาที โดยได้เริ่มดำเนินการผลิตในเชิงพาณิชย์นับตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ โรงงานนี้ยังได้รับการออกแบบมาเพื่อเป็น "โรงงานสีเขียว"คือสามารถอนุรักษ์พลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อมได้ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ การก่อสร้าง จนถึงการใช้อาคารในการปฏิบัติงานจริง โดยมุ่งเน้นการใช้น้ำและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการขยะรีไซเคิล รวมทั้งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
"เรายังวางแผนเพิ่มการลงทุนอย่างต่อเนื่องในโรงงานใหม่แห่งนี้เพื่อสร้างรากฐานทางธุรกิจให้แข็งแกร่ง ซึ่งหากติดตั้งไลน์การผลิตครบทั้ง 8 สายแล้ว จะช่วยให้เรามีกำลังการผลิตสูงสุดเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับโรงงานแรก ทั้งนี้ การเปิดดำเนินการในเฟสแรกได้ช่วยเพิ่มกำลังการผลิตสูงสุดจากเดิมถึง 30% ทำให้เราสามารถผลิตเครื่องดื่ม 'เป๊ปซี่' ได้อย่างเต็มที่และเพียงพอกับความต้องการของร้านค้าและผู้บริโภค โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อน ซึ่งถือเป็นช่วงไฮซีซั่นที่ตลาดน้ำอัดลมมีการเติบโตสูงกว่าช่วงปกติถึง 15 - 20%" นายจา-กรูท กล่าวเสริม
การลงทุนในโรงงานแห่งใหม่นี้ถือเป็นการตอกย้ำกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในระยะยาวของเป๊ปซี่โคที่มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในธุรกิจเครื่องดื่มโดยเน้นไปที่บรรจุภัณฑ์แบบไม่ต้องคืนขวด (Non-Returnable Packaging) คือ ขวดพีอีทีและกระป๋อง ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมและมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ จากข้อมูลตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมในปี 2558* พบว่า บรรจุภัณฑ์แบบไม่ต้องคืนขวดมีสัดส่วนถึง 78% ในขณะที่ขวดแก้วคืนขวดมีสัดส่วนเพียง 22% เท่านั้น ซึ่งล่าสุด (ข้อมูลในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา) เครื่องดื่ม "เป๊ปซี่" สามารถครองตำแหน่ง "ผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดเครื่องดื่มน้ำดำในบรรจุภัณฑ์ประเภทไม่ต้องคืนขวด" ด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่มากกว่า 44 % ได้แล้ว
"นอกจากการผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลมแบรนด์ต่างๆ ทั้ง เป๊ปซี่ เมาเทนดิว มิรินด้า และเซเว่น-อัพแล้ว โรงงานใหม่แห่งนี้ยังถูกเตรียมพร้อมสำหรับการขยายพอร์ตโฟลิโอไปในกลุ่มเครื่องดื่มไม่อัดลม อาทิ ชาพร้อมดื่มลิปตัน เครื่องดื่มเกลือแร่เกเตอเรด รวมถึงผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ๆ ที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคในอนาคตด้วย ซึ่งเรามั่นใจว่าด้วยฐานการผลิตที่มีศักยภาพสูงทั้งสองแห่ง ด้วยรสชาติและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นที่ถูกใจคนไทยภายใต้แบรนด์ที่แข็งแกร่ง จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมให้เป๊ปซี่โคสามารถดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มและสร้างการเติบโตในประเทศไทยได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป" นายจา-กรูท กล่าวสรุป