กรุงเทพฯ--4 เม.ย.--เค พลัส พีอาร์
"เอเอสเอ็น โบรกเกอร์" เตรียมเสนอขายหุ้นไอพีโอ 30 ล้านหุ้น พาร์ 0.50 บาท หลัง ก.ล.ต. นับหนึ่งแบบ Filing แล้ว หวังระดมทุนไปใช้พัฒนาระบบฐานข้อมูล และระบบอีคอมเมิร์ซ เพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจในยุคดิจิตอล อินชัวรันส์ และฟินเทค ใช้ลงทุนในการขยายจำนวน Seat ของพนักงาน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ขณะที่ "ธวัชชัย ชีวานนท์" แม่ทัพ เอเอสเอ็น มั่นใจปีนี้ยังทำผลงานเติบโตได้ดี ท่ามกลางภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว
บริษัท ทริปเปิ้ล เอ พลัส แอดไวเซอร์รี่ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย ประกันรถยนต์ ประกันชีวิต และประกันสุขภาพ ระดับแนวหน้าของประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตและแบบแสดงรายการข้อมูลเสนอขายหลักทรัพย์ เพื่อเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 30 ล้านหุ้น ของ บริษัท เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ จำกัด (มหาชน) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไปแล้วนั้น ขณะนี้สำนักงาน ก.ล.ต. ได้เริ่มนับหนึ่งแบบ Filing เพื่อขอเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ของ บริษัท เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ จำกัด (มหาชน) เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ขณะนี้จึงได้เตรียมดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ เพื่อนำไปสู่การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 30 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) ที่ 0.50บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 23.1 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ตามที่ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตฯ ต่อสำนักงาน ก.ล.ต.ไว้ดังกล่าว
ปัจจุบัน บริษัท เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย ประกันภัยรถยนต์ และประกันชีวิต มีทุนจดทะเบียนจำนวน 65 ล้านบาท โดยทุนที่ออกจำหน่ายและชำระแล้วทั้งหมด มีจำนวน 100 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท สำหรับการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก มีวัตถุประสงค์ เพื่อนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้พัฒนาระบบฐานข้อมูลและระบบอีคอมเมิร์ซ เพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจในยุคดิจิตอล อินชัวรันส์ และฟินเทค (Financial Technology) ใช้ลงทุนในการขยายจำนวน Seat ของพนักงาน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
"ธุรกิจโบรกเกอร์นายหน้าประกันวินาศภัย ประกันภัยรถยนต์ และประกันชีวิตเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตอีกมาก ทั้งการเติบโตจากการขยายตัวของธุรกิจประกันภัย ภายใต้มูลค่าอุตสาหกรรมประกันภัยโดยรวมที่มีขนาดใหญ่ และผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความมั่นคงในชีวิตและคุณภาพชีวิตมากขึ้น รวมถึงแรงสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในการผลักดันให้บริษัทประกันภัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ในวงกว้าง เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ จึงเตรียมตัวระดมทุนเพื่อรองรับการขยายตัวของบริษัทฯ ทั้งในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การพัฒนาแพลทฟอร์ม อีคอมเมิร์ซ และขยายจำนวนพนักงานขาย เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตและเพื่อการก้าวไปสู่การเป็นบริษัทนายหน้าประกันภัยชั้นนำที่มีการบริหารงานที่มีมาตรฐานระดับสากล และเป็นที่หนึ่งในใจผู้บริโภค" ที่ปรึกษาทางการเงินกล่าว
นายธวัชชัย ชีวานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ในครั้งนี้ เพื่อต้องการระดมทุนเตรียมความพร้อมสำหรับขยายช่องทางและธุรกิจที่คาดว่าจะเติบโตได้ดีในอนาคต โดยเฉพาะแผนการขยายช่องทางการขายใหม่ๆ ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น เช่น ช่องทางผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือ อี-คอมเมิร์ซ ทั้งนี้ ข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ปัจจุบันธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีมูลค่าประมาณ 200,000 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2559 มูลค่าตลาด E-Commerce - B2C จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 230,000 - 240,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 15 ถึงร้อยละ 20 จากปี 2558 ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ เติบโตอย่างรวดเร็ว มั่นคง และยั่งยืนในระยะยาว
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2558 คาดว่าเบี้ยประกันรับรวมของบริษัทฯ ยังคงเติบโตใกล้เคียงเป้าหมาย แม้ที่ผ่านมา จะเผชิญต่อความท้าท้ายเรื่องการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลัง แต่บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมรับมือต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นไว้แล้วเป็นอย่างดี โดยส่วนหนึ่งคือการจับมือพันธมิตรเพื่อจัดหาธุรกิจ และผลิตภัณฑ์ รวมถึงบริการใหม่ๆ ที่เป็นสินค้าเฉพาะที่เหมาะต่อกลุ่มเป้าหมายลูกค้าของเอเอสเอ็น และพันธมิตร ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้บริษัทฯ บรรลุเป้าหมายความสำเร็จในปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ บริษัท เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ จำกัด (มหาชน) ระบุผลประกอบการในปี 2558 รายได้รวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีทั้งสิ้น 161 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 25 ล้านบาท โดยมีสินทรัพย์รวมและหนี้สินรวม 106 ล้านบาท และ 43 ล้านบาทตามลำดับ โดยมีสัดส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 0.68 เท่า