กรุงเทพฯ--5 เม.ย.--แอบโซลูท พีอาร์
ฮาวาสริเวอร์ออคิด เผย 3 อันดับธุรกิจดาวเด่นปีนี้ในกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งประกอบด้วย กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนามชี้ทางนักลงทุนจากไทยเล็งขยายตลาดสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (Asean Economics Community – AEC) เจาะกลุ่มCLMV ที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลกภายใน 10 ปี
นายสันติพงศ์ พิมลแสงสุริยา ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทฮาวาสริเวอร์ออคิด ผู้ให้บริการธุรกิจสื่อสารการตลาดในกลุ่ม CLMV มานานกว่า 15 ปี เผยปีนี้ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเปิดทางสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้าไปลงทุนในธุรกิจต่างๆ กันมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ AEC ถือเป็นกลุ่มประเทศที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการไทย
"เศรษฐกิจในกลุ่ม CLMV เมื่อรวมกันแล้วมีขนาดเท่ากับร้อยละ 75 ของประเทศไทย แต่เมื่อดูที่จำนวนประชากรแล้วมีถึง 165 ล้านคน หรือเท่ากับ 2.5 เท่าของไทย และมีขนาดของประเทศคิดเป็น 2.8 เท่าของไทยซึ่งเรามี 513,120 ตร.กม. ส่วน CLMV มี 1,424,000 ตร.กม. อีกทั้งมีการเติบโตของรายได้ประชากรและกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อายุของประชากรเฉลี่ยเพียง 24.8 ปี ขณะที่ไทยเรามีอายุเฉลี่ย 33.7 ปี ดังนั้นจะเห็นได้ว่าประชากรในกลุ่ม CLMV ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก ยังไม่รวมถึงอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ร้อยละ 7-9 ซึ่งหมายถึงจะก้าวขึ้นเป็นเป็น 4 ใน 15 ประเทศที่ติดอันดับการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลกในระยะเวลา 10 ปีต่อจากนี้ ถือเป็นตลาดที่มีอนาคตสดใสและเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ประกอบการไทยที่มีความพร้อมและสนใจขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้านของเรา" นายสันติพงศ์กล่าว
ผลการสำรวจธุรกิจอนาคตรุ่งในกลุ่มประเทศ CLMV โดยฮาวาสริเวอร์ออคิดในปี 2016 พบว่าตลาดในสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่าซึ่งผู้บริโภคมีความต้องการสูงและพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ หลังการเปิดประเทศ กำลังต้องการธุรกิจด้านก่อสร้างและสาธารณูปโภคพื้นฐานสูงเป็นอันดับ 1 เพราะต้องพัฒนาด้านอสังหาริมทรัพย์สูงมาก ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น การก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง เทคโนโลยีการก่อสร้าง การออกแบบตกแต่ง รวมไปถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ในสำนักงานและอาคารต่าง ๆ เป็นที่ต้องการอย่างมาก ตามด้วยอันดับ 2 คือธุรกิจท่องเที่ยว ทั้งในและต่างประเทศ เพราะเมื่อเปิดประเทศแล้วคนของเขาก็อยากออกมาท่องเที่ยวข้างนอก และคนนอกก็อยากเข้าไปเที่ยวที่พม่าเช่นกัน และอันดับ 3 ได้แก่ธุรกิจด้านสื่อสารโทรคมนาคม ทั้งโทรศัพท์มือถือ โอเปอเรเตอร์ อุปกรณ์เสริม ผู้จัดจำหน่าย ผู้ให้บริการเติมเงิน ระบบโมบายแบงกิ้ง ฯลฯ
ในส่วนของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งมีความคุ้นเคยกับข้อมูลสินค้าจากไทยผ่านสื่อต่าง ๆ อยู่แล้ว ธุรกิจที่มีแววรุ่งอันดับ 1คือธุรกิจช่องทางจัดจำหน่าย เพราะมีสินค้าจากไทยจำนวนมากที่ต้องการเข้าไปสู่ตลาดของลาว แต่ผู้แทนจำหน่ายยังไม่มีศักยภาพในการจัดจำหน่ายที่ดีพอ อันดับ 2 ได้แก่สินค้าสำหรับวัยรุ่น เพราะการขยายตัวของชนชั้นกลางและประชากรส่วนมากยังอยู่ในวัยช่วงเด็กและวัยรุ่นซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการสินค้าเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์วัยรุ่น เช่น แก็ดเจ็ตโทรศัพท์มือถือ แฟชั่นการแต่งกาย คอฟฟี่ช็อป ฯลฯ ส่วนอันดับ 3 คือธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งปีที่ผ่านมาเป็นธุรกิจที่นำรายได้เข้าประเทศเป็นอันดับต้น ๆ รัฐบาลจึงสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทางการท่องเที่ยวในและนอกประเทศ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวทางทะเล เนื่องจากลาวเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล
สำหรับราชอาณาจักรกัมพูชา อีกหนึ่งประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชิดของไทย ปีนี้ธุรกิจก่อสร้างและสาธารณูปโภคพื้นฐานเป็นที่ต้องการสูงเป็นอันดับ 1 เนื่องจากมีการขยายตัวของเขตเมือง จึงมีความต้องการด้านที่อยู่อาศัย คอมมูนิตี้มอลล์ ห้างสรรพสินค้า และอาคารสำนักงานเพิ่มขึ้น ส่วนอันดับ 2 ได้แก่สินค้าอุปโภคบริโภค เพราะจำนวนประชากรขยายตัวเพิ่มขึ้น และแม้ว่าเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง ชาวกัมพูชายอมรับสินค้าที่ผลิตจากประเทศไทยมากกว่าจากประเทศอื่น ๆ ด้วยปัจจัยของคุณภาพสินค้า และอันดับ 3 คือสินค้าและบริการที่ตอบความต้องการของวัยรุ่น จากการขยายตัวของกลุ่มชนชั้นกลาง ซึ่งประชากรส่วนใหญ่ยังอยู่ในวัยเด็กถึงวัยรุ่น เช่นเดียวกับลาว ทำให้สินค้าและบริการแนวเทรนดี้ เช่น โทรศัพท์มือถือ คอฟฟี่ช็อป แฟชั่นเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ฯลฯ ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
ด้านสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ปีนี้ธุรกิจที่มีแนวโน้มความต้องการสูงสุดอันดับ 1คือสินค้าเพื่อความสะดวกสบายของคนเมือง ทั้งนี้เพราะมีการขยายตัวของชนชั้นกลางมากขึ้น จึงมีความต้องการความสะดวกเพื่อไลฟ์สไตล์แบบคนเมือง โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์เครื่องใช้ที่ดีไซน์สำหรับคนเมือง และร้านอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด เป็นต้น อันดับ 2 คือธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าชาวเวียดนามสนใจดูแลสุขภาพเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคนที่เริ่มมีรายได้เพิ่มขึ้น กำลังซื้อของพวกเขาจะไปอยู่ที่กลุ่มอาหารเสริมประเภท Fitness, Wellness และ Health Care ซึ่งเห็นภาพได้ชัดเจนว่าธุรกิจนี้จะเดินไปได้ดีและอยู่ได้นาน ส่วนอันดับที่ 3 คือธุรกิจการศึกษา เพราะประชากรในภาคเหนือและใต้มีความแตกต่างกันมาก คนเวียดนามจึงให้ความสำคัญกับการศึกษาเพื่อให้เกิดความเท่าเทียม ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับธุรกิจด้านติวเตอร์ Educational Tour การจัดฝึกอบรม รวมถึงสินค้าและบริการเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก
นายสันติพงศ์ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า "การเติบโตของธุรกิจต่าง ๆ นั้นจะสัมพันธ์กับการเติบโตและทิศทางการพัฒนาของแต่ละประเทศ ตลอดการสนับสนุนของภาครัฐ และแนวโน้มความนิยมของประชากร ดังนั้นผู้ประกอบการจากไทยที่สนใจจะขยายธุรกิจไปสู่กลุ่มประเทศCLMV จึงควรต้องศึกษาตลาดของประเทศนั้น ๆ ให้ดี เพื่อวางแผนธุรกิจ แผนการตลาด และแผนการสื่อสารการตลาดได้ตรงต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ"