กรุงเทพฯ--7 เม.ย.--กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
วันนี้ (๗ เม.ย.๕๙) เวลา ๑๒.๓๐ น. ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ นายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม แนวทางการปฏิบัติตามกฎหมายจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และหาทางออก เชิงสร้างสรรค์ในการเข้าถึงสิทธิการมีงานทำของคนพิการในหน่วยงานของรัฐโดยไม่เลือกปฏิบัติ การสร้างความเข้าใจให้กับเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ และการให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย ผู้บริหารและผู้แทนหน่วยงานภาครัฐที่เป็นบุคลากรด้านบริหารงานบุคคลและกฎหมาย ในสังกัดกรมต่างๆ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานอิสระ และสถาบันการศึกษา ที่มีจำนวนผู้ปฏิบัติงานตั้งแต่ ๑๐๐ คนขึ้นไป รวมจำนวนทั้งสิ้น ๓๕๐ คน
นายไมตรี กล่าวว่า จากนโยบายของรัฐบาลด้านความมั่นคงของชีวิตและสังคม โดยการเสริมสร้างให้คนพิการ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ การให้การสงเคราะห์ การจัดการศึกษา การจัดสวัสดิการ รวมถึงการจัดหาอาชีพให้แก่คนพิการ ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๕๗ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ และโดยที่พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้กำหนดสิทธิของคนพิการไว้อย่างครอบคลุมทุกด้าน เพื่อให้คนพิการไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งถือเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วนในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน หรือองค์กรด้านคนพิการ รวมถึงประชาชนโดยทั่วไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานของรัฐและสถานประกอบการภาคเอกชน ซึ่งต้องปฏิบัติตามกฎหมายการจ้างงานคนพิการในอัตราส่วนลูกจ้าง ๑๐๐ คน ต้องจ้างคนพิการ ๑ คน หรือ ๑๐๐:๑ ตามมาตรา ๓๓ และสนับสนุนการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับคนพิการตามมาตรา ๓๕ และกรณีสถานประกอบการเอกชนใด ไม่ดำเนินการใน ๒ วิธีข้างต้น ต้องส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ทั้งนี้ เพื่อให้คนพิการจะได้มีอาชีพ มีงานทำ สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว ตลอดจนเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป
นายไมตรี กล่าวต่อไปว่า จากการที่พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๓๓ ได้มีผลใช้บังคับกับหน่วยงานของรัฐทุกประเภท ส่งผลให้มีการแบ่งหน่วยงานของรัฐเป็น ๔ ประเภท คือ ๑)กระทรวง ๒)องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๓)รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา และ ๔)หน่วยงานอื่นของรัฐ เช่น องค์การมหาชน หรือองค์กรอิสระ ได้จ้างงานคนพิการเข้าทำงาน จำนวน ๑,๓๑๓ คน และจัดให้สัมปทาน จำนวน ๓๙๘ คน รวมกันเพียง ๑,๗๑๑ คน หรือคิดเป็นร้อยละ ๑๖.๕๔ เท่านั้น ขณะที่สถานประกอบการเอกชนได้รับคนพิการเข้าทำงานแล้ว จำนวน ๒๙,๗๘๗ คน จัดให้สัมปทาน ๖,๓๓๑ คน และส่งเงินเข้ากองทุนแทนการจ้างคนพิการ จำนวน ๑๙,๔๔๓ คน รวมเป็น ๕๕,๕๖๑ คน ซึ่งถือได้ว่าสถานประกอบการเอกชนได้ปฏิบัติตามกฎหมายแล้วถึงร้อยละ ๙๐.๔๔ จากสถานการณ์ ผลการจ้างงานคนพิการดังกล่าว จำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งร่วมมือกันเพื่อหาแนวทาง และวิธีการที่จะทำให้คนพิการสามารถเข้าทำงานกับหน่วยงานของรัฐได้อย่างเป็นรูปธรรม และทั่วถึง ซึ่งในประเทศต่างๆ ทั่วโลกถือว่าการมีงานทำเป็นการให้โอกาสทางสังคมที่ดีที่สุดแก่คนพิการ และส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนพิการอีกด้วย นอกจากนี้ เมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้หน่วยงานของรัฐซึ่งมีผู้ปฏิบัติงานตั้งแต่ ๑๐๐ ร้อยคนขึ้นไป รับคนพิการที่สามารถทำงานได้เข้าทำงานตามมาตรา ๓๓ หรือให้สัมปทานตามมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้ครบตามอัตราส่วนที่กฎหมายกำหนดภายในปีงบประมาณ ๒๕๖๑ โดยให้รายงานผลการปฏิบัติหรือนำเสนอแผนการดำเนินงานทุก ๑ ปี และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เป็นผู้รวบรวมรายงานผลการดำเนินงานดังกล่าวเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
"กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบในการขับเคลื่อนการบังคับใช้กฎหมายร่วมกับกระทรวงแรงงาน ตระหนักถึงความสำคัญของการมีอาชีพ การมีงานทำของคนพิการ เนื่องจากจะทำให้คนพิการมีรายได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การพึ่งพาตนเองของคนพิการอย่างยั่งยืน เป็นการเปลี่ยนคนพิการจาก "ภาระ" ให้เป็น "พลัง" ของครอบครัว สังคม และประเทศชาติ ทำให้คนพิการรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า เกิดความภาคภูมิใจ และได้รับการยอมรับ จากสังคมมากขึ้น จึงนับได้ว่าเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมอาชีพและการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐทุกประเภทได้มาร่วมประชุมในครั้งนี้ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในข้อกฎหมายและวิธีปฏิบัติ อีกทั้งจะได้ร่วมกันกำหนดแนวทางที่เหมาะสมในการปฏิบัติตามกฎหมายต่อไป " นายไมตรี กล่าวในตอนท้าย