กรุงเทพฯ--11 เม.ย.--กองประชาสัมพันธ์ มทร.ธัญบุรี
"บ้านไร่ ไออรุณ" farmstay จังหวัดระนอง ที่พักท่ามกลางธรรมชาติ เปลี่ยนอาชีพจากสถาปนิกสู่เกษตรกร นายวิโรจน์ ฉิมมี หรือเบสท์ ศิษย์เก่าจากสาขาเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สำเร็จการศึกษาปีการศึกษา ๒๕๕๒ กับอาชีพของเกษตรกรที่ออกแบบชีวิตเอง
เบสท์ เล่าว่า ความฝันอยากออกแบบบ้านได้ด้วยตัวเอง และที่เลือกสถาปัตยกรรมศาสตร์ มทร.ธัญบุรี รู้จักจากรุ่นพี่คนหนึ่งที่แนะนำมา เมื่อได้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศของมหาวิทยาลัย รู้สึกชอบจึงเลือกเรียนที่นี่ ตอนเรียนไม่ได้เป็นนักศึกษาเรียนเก่งอะไร สำหรับเกรดเฉลี่ยอยู่ที่ 3.10 ซึ่งเคล็ดลับในการเรียน "ขยัน สร้างสรรค์ ตรงต่อเวลา คิดและลงมือทำ ต่อยอดจากจินตนาการ ลงสู่แผ่นกระดาษ และต้องนำไปสร้างจริงให้ได้"
สมัยเรียนทำกิจกรรมทุกอย่างที่นักศึกษาทั่วๆ ไปทำขึ้นสแตนเชียร์ ช่วยงานที่คณะ ร่วมไปถึงงานของมหาวิทยาลัย เป็นนักศึกษาต่างจังหวัดคนหนึ่งที่เข้ามาเรียนในเมือง แต่ที่คลอง6 บรรยากาศ สังคม เพื่อน เหมือนอยู่ที่บ้านที่ต่างจังหวัด มีรอยยิ้มช่วยเหลือ แบ่งปัน ซึ่งกันและกกัน ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ เพื่อนๆในคณะ หรือนอกคณะ ทุกคนน่ารักมากๆ เลิกเรียนก็ขับมอเตอร์ไซต์ ออกไปเดินตลาดนัด ซื้อกับข้าว กลับหอ ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับมหาวิทยาลัย อยากเข้าไปในกทม. ก็นั่งรถตู้หรือรถเมล์ไป เวลาว่างก็จะ มานั่งเล่นในสวนของมหาลัย เพราะร่มรื่น อากาศดีและน่าพักผ่อนมากๆ "ที่นี่ ไม่ได้เป็นแค่มหาวิทยาลัย แต่ที่นี่ เป็นเหมือนบ้านหลังที่ 2 ของเราจริงๆ"
จุดเปลี่ยนจากสถาปนิก สู่อาชีพเกษตรกร มันคือความฝัน ตนเองเป็นเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งที่เคยเข้าไปอยู่ในกรุงเทพ เรียนจบมาทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน เหมือนกับคนอื่นๆ แต่ชีวิตที่ต้องดิ้นรนอยู่ในเมืองใหญ่ มันก็ไม่ได้ง่ายสำหรับตนเองเลย มักจะย้อนถามตัวเองอยู่เสมอว่า จริงๆแล้ว "เราต้องการอะไรกันแน่ ชีวิตที่หวือหวา ชีวิตที่ต้องอยู่กับการแข่งขัน ชีวิตที่อยู่ในกรอบ แล้วความฝันของเราละคืออะไร ผมอยากมีบ้านหลังเล็กๆ ที่ผมออกแบบเองให้พ่อกับแม่ได้อยู่ ใช้ชีวิตพอเพียงท่ามกลางธรรมชาติ" นี่คือความฝันของตนเอง แล้วตอนนี้ที่ทำอยู่คืออะไร มัวเล่นอะไรอยู่นะ พ่อกับแม่ก็เริ่มแก่ลงทุกวัน มันคงต้องถึงเวลาแล้วละที่ต้องลุกขึ้นมาจัดการกับชีวิตให้กับตัวเอง (ทำงาน 4ปี เงินเก็บแทบไม่มีเลย แล้วจะเอาเงินจากไหนมาสร้างบ้านละ) จึงตัดสินใจลาออกจากงาน ขนของทุกอย่างกลับมาอยู่บ้านเกิด ด้วยความเชื่อมั่นสุดหัวใจว่า จะต้องทำตามความฝันของผมให้เป็นจริง
ตั้งแต่วันแรกที่กลับมาถึง เห็นบ้าน ทั้งเก่าและโทรมมาก เริ่มจากการปัดกวาดเช็ดถู ซื้อสีมาทา (มีเงินอยู่ 20,000 บาท /เป็นเงินเดือนเดือนสุดท้าย) รายได้บางส่วนก็มาจากในสวน ,จากการนำผักไปขายบ้าง ,ทำสินค้าเกษตรขายบ้าง ได้เงินมาเท่าไหร่ก็นำมาทำบ้านทั้งหมด ปรับปรุงทำไปเรื่อยๆตามกำลังที่ตนเองมี โชคดีที่ พ่อกับแม่ไม่เคยขัดสิ่งที่ตนเองทำเลย ที่สำคัญพ่อลงมือช่วยทำทุกอย่าง จนบ้านเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ตอนทำงานใช้เงินเป็นตัววัดงาน design แต่ตอนนี้ไม่มีเงิน ตนเองต้องมองหาสิ่งที่มี นำมาปรับใช้ให้คุ้มค่าที่สุด นำกระบวนการคิดทุกอย่าง ที่ร่ำเรียนมา มาต่อยอดกับสิ่งที่มี วัสดุบางอย่างไม่ต้องซื้อ ของบางอย่างฝึกทำกันเองได้ โดยให้เงินให้น้อยที่สุด ชวนพ่อขึ้นภูเขาไปตัดไม้จากในสวน เก็บเศษไม้กิ่งไม้ วัสดุเหลือใช้ ช่วยกันเลื่อยไม้ ฝึกทำกันเองทุกอย่าง ก่อร่าง สร้างฝันมันขึ้นมา ควบคู่ไปกับการปรับปรุงสภาพแวดล้อม แปลงเกษตรรอบๆบ้าน 2 ปีกว่าๆผ่านไป ตอนนี้ บ้านเก่าๆหลังนั้น เริ่มดี สะอาดและน่าอยู่ขึ้น สิ่งที่ตั้งใจกลับมาทำนั้น มันเป็นความจริง ถึงแม้วันนี้ อาจจะดูโทรมๆไปบ้าง แต่มันก็คุ้มค่ามาก กับสิ่งที่ได้มา มากไปกว่านั้น บ้านหลังนี้ทำให้พ่อกับแม่ยิ้มได้และมีความสุขมากขึ้น และเริ่ม farmstay ที่มีชื่อว่า บ้านไร่ ไออรุณ
จากการนำฝันของทุกคนในบ้านมารวมกัน พ่อชอบทำสวน ชอบอยู่ในที่เงียบๆ ไม่ต้องเจอผู้คนมากมาย พ่อเป็นคนขี้อายไม่ค่อยพูด ส่วนแม่ชอบขายของ ชอบพูดชอบคุย อยากมีร้านขายดอกไม้ ต้นไม้ ร้านขายผัก และน้องสาวอยากมีร้านนม ขายน้ำผลไม้ เล็กๆ เป็นของตัวเอง ส่วนผม ชอบงานออกแบบครับ อยากต่อยอดจากสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ ให้ดีขึ้น นำฝันของทุกคน มารวมกัน จนกลายเป็น farmstay บ้านไร่ ที่กำลังสร้างมันขึ้นมาอยู่ในตอนนี้ เป็นที่พักเล็กๆเชิงเกษตร มีอยู่ทั้งหมด 5หลัง ครับ ยังคงปลูกผัก ขายผัก ขุดดิน เก็บหิน กิ่งไม้ ต่อเติม สร้างที่พัก พื้นที่แห่งรักของผมไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าการหันกลับมาเป็นเกษตรกรของผม รายได้อาจจะไม่เท่ากับเงินเดือนตอนเป็นสถาปนิก แต่สำหรับผมแล้ว เงินไม่ใช่เป้าหมายหลัก แต่ความสุขที่ได้กลับมาดูแลคนที่เรารัก ต่างหากที่สำคัญและมีค่ามากกว่า "หากภาระหน้าที่ ที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ ได้มอบรอยยิ้มและความสุขให้กับใครสักคน แค่นี้ชีวิต โคตรมีความหมายแล้วครับ"
"ทุกวันนี้ตนเองไม่ได้คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จ หรือเป็นคนเก่งอะไรหรอกครับ ผมเพิ่งจะเริ่มต้นลงมือทำมันเท่านั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราเรียนได้เกรดเฉลี่ยเท่าไหร่ เราจบจากคณะอะไร สิ่งสำคัญคือเราได้นำความรู้ที่เราร่ำเรียนมา มาปรับใช้ พัฒนา ต่อยอด และมีความสุขกับการทำงานในการใช้ชีวิตจริงได้ หาเป้าหมายและสิ่งที่ตัวเองชอบให้เจอให้เร็วที่สุดครับ เพราะมันเป็นเครื่องนำทางเราไปตลอดชีวิต เริ่มต้นเร็วเท่าไหร่ เราก็จะได้อยู่กับมันไปนานๆ คนที่มีชีวิตที่น่าอิจฉา ไม่ใช่คนที่มีเงินเยอะที่สุด แต่คือคนที่มีอิสระได้เลือกทำในสิ่งที่ตัวเองรักมากที่สุด ต่างหากครับ"
อีกหนึ่งตัวอย่างในการใช้ชีวิต ที่สามารถออกแบบชีวิตของตนเอง ด้วยความเรียบง่าย สามารถติดตามความเคลื่อนไหว farmstay บ้านไร่ ไออรุณ สามารถติดตามได้ทาง facebook / baanraiiarun