(ต่อ 1) บัวนา วิสต้า อินเตอร์เนชั่นแนล ภูมิใจเสนอภาพยนตร์เรื่อง THE PRINCESS DIARIES ( บันทึกรัก…เจ้าหญิงมือใหม่)

ข่าวทั่วไป Wednesday August 1, 2001 14:10 —ThaiPR.net

ข้อมูลงานสร้าง
มีอา เธอร์โมโพลิส (แอนน์ แฮธาเวย์) เป็นเด็กสาวปราดเปรื่องแต่ขี้อาย ที่ใช้ชีวิตอยู่ในซานฟรานซิสโกกับแม่ของเธอ เฮเลน (แคโรไลน์ กูดอลล์) อาร์ติสสาวรักอิสระเหนือสิ่งอื่นใด เธอเผชิญกับมรสุมชีวิตตามปกติของเด็กไฮสกูลไปพร้อมกับเพื่อนสนิทลิลลี (ฮีเธอร์ มาตารัซโซ) สาวนักเสี่ยงผู้ใช้ชีวิตตามแบบแผนไม่มีเพี้ยน
มีอานั้นค่อนข้างจะมีลักษณะของคนนอก พอใจที่จะเก็บตัวเงียบๆ ขณะที่เธอผจญกับมรสุมชีวิตในชั้นเรียน ระบบการแบ่งพรรคแบ่งพวกที่โรงเรียน และการแอบปิ๊งหนุ่มสุดหล่อของโรงเรียน แล้วทันใดนั้น มีอาก็ตกเป็นเป้าสนใจของทุกคนเมื่อคุณยายของเธอ ราชินีแคลริซ เรนัลดี (จูลี แอนดรูว์ส) เสด็จมาที่เมืองนี้เพื่อบอกข่าวอันน่าตื่นตะลึงที่ว่ามีอานั้นเป็นรัชทายาทผู้สืบทอดราชบัลลังก์ของเจโนเวียนครเล็กๆในยุโรป
ตัวละครของมีอานั้นต้องการนักแสดงสาวที่พิเศษสุดมารับบทนี้ และแอนน์ แฮธาเวย์ก็ได้รับเลือกเข้ามา จากผู้หวังในบทนี้นับพันๆ คน
"แอนน์ แฮธาเวย์ มีคุณสมบัติของนักแสดงมากมายอยู่ในตัว" ผู้กำกับแกร์รี มาร์แชลล์กล่าว "เธอทำให้ผมนึกถึงคนสองคนที่ผมหลงรักมาก นั่นคือ จูดี การ์แลนด์ และฮาร์โป มาร์กซ์ ฟังดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่เลยนะ แต่เธอก็มีรอยยิ้มที่ทำให้ห้องทั้งห้องสว่างไสว แล้วก็ทำหน้าตลกให้คนขำได้ด้วย เธอนับเป็นนักแสดงตลกชั้นยอดคนหนึ่งทีเดียวล่ะ เธอไม่กลัวที่จะลองผิดลองถูก ผมว่าผมยังไม่เคยทำงานกับใครที่อยากแสดงท่าทางตลกแบบนี้มาก่อนเลย นับตั้งแต่ผมทำงานกับน้องสาวของผม เพนนีมาตลอดเนี่ย"
"แกร์รี มาร์แชลล์ ให้โอกาสฉันแสดงได้อย่างเต็มที่ ซึ่งนับเป็นคำแนะนำที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับนับแต่เข้าวงการเลยทีเดียว" แฮธาเวย์รำลึกถึงครั้งแรกที่ได้พบกัน "เขาพูดกับฉันว่า 'คุณไม่มีทางรู้หรอกว่า หนังของคุณจะไปได้สวยมั้ย แต่คุณก็มีความสุขในการทำมันได้นี่นา' แล้วเราก็สนุกกันมาก เกินกว่าที่ฉันคิดไว้มากเลยล่ะ"
บทมีอานั้น เป็นเด็กสาวขี้อาย และติดจะงุ่มงาม ที่พลิกผันกลายเป็นสาวมั่น ผู้สง่างามในเวลาต่อมา ซึ่งแฮธาเวย์ให้ความเห็นว่า "ฉันว่า มีอาผ่านชีวิตมา โดยมีเพียงแม่นักต่อสู้ กับลิลลี เพื่อนสนิทของเธอเท่านั้นที่บอกกับเธอว่า เธอน่ะเป็นคนพิเศษ และเมื่อเธอเริ่มต้นเรียนรู้บทเรียนของเจ้าหญิงกับเสด็จยายของเธอนั้น เธอก็ได้รู้จักตัวเองมากขึ้นด้วย ซึ่งทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมากมายเลยทีเดียว ฉันว่าการเปลี่ยนแปลงของมีอานั้น ไม่ใช่แค่ภายนอกเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของอารมณ์ และจิตใจด้วย มันวิเศษมากเชียวล่ะ"
สำหรับการเตรียมตัวเป็นเจ้าหญิงนั้น แฮธาเวย์กล่าวว่า "ไม่มีทางที่จะเตรียมตัวได้เลย นอกเสียจากว่าคุณจะเกิดมาเพื่อเป็นเจ้าหญิงจริงๆ ดังนั้น ทั้งหมดที่คุณจะทำได้ก็คือพยายามทำให้งดงามที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ยังคงความเป็นตัวของตัวเองจริงๆ เอาไว้ด้วย ซึ่งฉันว่ามันเป็นการสื่อที่สำคัญมากของหนังเรื่องนี้เลยทีเดียว โปรดจงอย่าหลงเชื่อในสิ่งที่คนอื่นเขาจัดแจงให้คุณเป็น แต่จงทำตามหัวใจของตัวเองดีกว่า"
และเมื่อแอนน์ แฮธาเวย์ลงตัวกับบทมีอาแล้ว จูลี แอนดรูว์สก็เป็นตัวเลือกแรกและตัวเลือกเดียวของผู้กำกับ ที่ต้องการให้รับบทราชินีแคลริซ เรนัลดีผู้สง่างาม ตัวแกร์รี มาร์แชลล์นั้นชื่นชมแอนดรูว์สมาเนิ่นนานแล้ว และเขาก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เมื่อเธอตกลงใจร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้
"เธอเป็นศิลปินมากความสามารถ" มาร์แชลล์กล่าวถึงผลงานที่ผ่านมาของแอนดรูว์ส "เธอแสดงได้ยอดเยี่ยมมาก ทั้งยังเป็นคนตลกอีกด้วย เธอรู้ดีว่าตรงไหนที่เธอทำให้ตลกได้ และเธอก็เป็นหนึ่งในนักแสดงที่เยี่ยมยอดที่สุดตลอดกาลเลยด้วย ภาษาอังกฤษน่ะถูกเขียนขึ้นมาเพื่อเธอโดยเฉพาะทีเดียว เพราะเธอรู้วิธีออกเสียงทุกๆ คำ ผมชอบฟังเวลาเธอพูดมากเลยล่ะ"
ผู้อำนวยการสร้างมาริโอ อิสโควิชเห็นด้วยเต็มที่กับสิ่งที่มาร์แชลล์พูด เขาเล่าว่า "ผมนึกภาพหนังเรื่องนี้ที่ไม่มีจูลี แอนดรูว์สไม่ออกเอาเลย และผมก็ต้องขอบคุณดาวนำโชคของเราที่ทำให้เธอตกลงร่วมงานกับเราในครั้งนี้ เธอเป็นตัวหลักของหนังเรื่องนี้ และเธอก็นำความสง่างาม รวมถึงมารยาทอันงดงามมาสู่บทบาทที่เธอได้รับนี้ด้วย การได้ทำงานร่วมกับจูลี แอนดรูว์สนั้นทำให้ผมรู้ว่ามืออาชีพที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร เธอน่าทึ่งมาก"
แล้วทำไมจูลี แอนดรูว์สถึงตกลงใจรับบทในหนังเรื่องนี้…
"แรกเริ่มและก่อนอื่นเลยก็คือ ฉันอยากร่วมงานกับแกร์รี มาร์แชลล์ค่ะ" แอนดรูว์สกล่าว "ฉันชื่นชมงานของเขามาก และก็ตื่นเต้นมากตอนที่เขาเสนอบทนี้ให้ ฉันติดใจอารมณ์ขัน และพัฒนาการของตัวละครในหนังของเขา เขาทำได้อย่างงดงามมาก ซึ่งมันเป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่ทำให้คุณอดยิ้มและชื่นชมในสิ่งที่เขาทำไม่ได้ เขาทำมันได้อย่างวิเศษจริงๆ"
นอกจากนี้ แอนดรูว์สยังชื่นชมธรรมชาติในการทำงานของมาร์แชลล์อีกด้วย "เขาใจกว้างอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว เขาเปิดรับความเห็นนักแสดงทุกคน จึงทำให้ทุกคนรู้สึกว่า พวกเขามีส่วนร่วมในหนังอย่างแท้จริง"
ฮีเธอร์ มาตารัซโซ รับบทเป็นลิลลี แม่สาวหัวดื้อผู้ดุดัน เพื่อนซี้ของมีอา ผู้ใช้รายการทีวี "Shut Up and Listen" ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินสนับสนุนให้กับโรงเรียน เป็นเวทีในการแสดงความคิดอย่างรุนแรงเกี่ยวกับประเด็นทางสังคมและการเมือง ตัวมาตารัซโซนั้น กระหายที่จะร่วมงานกับแกร์รี มาร์แชลล์มานานแล้ว
"แกร์รีเป็นหนึ่งในผู้กำกับไม่กี่คนที่ฉันได้ร่วมงานด้วยมาที่ชื่นชอบการอิมโพรไวส์และเปิดโอกาสให้นักแสดงทดลองไอเดียต่างๆได้อย่างเต็มที่" มาตารัซโซพูด "และก็มีสิ่งวิเศษมากมายเกิดขึ้น แกร์รีนั้นเป็นนักแสดง และเป็นผู้กำกับที่นักแสดงทุกคนชื่นชอบด้วย เขากำกับได้โดยไม่ต้องสาธยายหรือถกเถียงอะไรกันให้มากความและไม่ได้คิดโน่นคิดนี่มากเกินไปในฉากนั้นๆจนคุณหลงประเด็นไป ผู้กำกับไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อเปิดสอนการแสดง คุณแสดงเป็นหรือไม่เป็น ก็เท่านั้นเอง และแกร์รีก็รู้ถึงข้อนี้ดี"
นักร้องสาวเจ้าของแผ่นแพลตินัม แมนดี มัวร์ เข้าสู่การแสดงเป็นครั้งแรก ด้วยบทของสาวสวยเลนา เชียร์ลีดเดอร์สาวสุดฮอต และเป็นแฟนสาวของหนุ่มรูปงามนามจอช หนุ่มฮอตประจำโรงเรียนเช่นเดียวกัน ซึ่งตัวละครของเธอนั้นเป็นตัวที่สร้างความหวานอมขมกลืนให้แก่มีอาเป็นอย่างมาก
"ฉันว่า เธอเป็นตัวละครที่ใครๆ ก็เคยพบเจอในโรงเรียนมาก่อนนะ" มัวร์กล่าวถึงบทเลนา "ตัวฉันเองก็ยังอยู่ไฮสคูล แล้วฉันก็รู้ว่าคนแบบนี้มีอยู่จริงๆ เพราะฉันเคยไปโรงเรียนกับพวกเขา พวกเขาจะชอบแบ่งแยกตัวเองกับเด็กอื่นๆ แล้วก็พยายามหาความผิดพลาดของคนอื่นๆ ด้วย ซึ่งก็เพราะจริงๆ แล้ว พวกเขารู้สึกไม่มั่นคงในตัวเองเอาเสียเลย และการทำเช่นนั้นก็จะทำให้พวกเขารู้สึกดีที่ได้อยู่เหนือคนอื่นๆ บ้าง ฉันมั่นใจเลยว่าวัยรุ่นทุกคน จะต้องเคยเจออะไรแบบนี้ในโรงเรียนบ้างล่ะ"
ครั้งแรกที่มีอาได้ยินจากราชินีแคลริซ เสด็จยายของเธอ ว่าเธอเป็นเจ้าหญิงนั้น เธอเริ่มจากไม่เชื่อถือก่อน แล้วจึงรู้สึกโกรธตามมา เธอโกรธที่แม่ซ่อนเธอเอาไว้ตลอดชีวิตของเธอ แล้วก็โกรธที่ญาติผู้ใหญ่ที่เพิ่งพบกัน มาบังคับเคี่ยวเข็ญให้เธอต้องเข้าฝึกการปฏิบัติตัวเป็นเจ้าหญิง แรกเริ่มนั้น มีอาต่อต้าน แต่ก็ให้โอกาสเสด็จยายทำอย่างที่ต้องการ โดยไม่เต็มใจเท่าใดนัก ในระหว่างบทเรียนอันชวนหัวในเรื่องการฝึกมารยาท กิริยาท่าทาง และพิธีการของกษัตริย์นั้น มีอาก็ได้ค้นพบว่า ตัวเองมีความมั่นใจขึ้นมากมาย และด้วยความที่ทั้งมีอาและแคลริซใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น เธอไม่เพียงแต่พบว่าแคลริซเป็นผู้หญิงน่าทึ่งเท่านั้น แต่ยังได้เรียนรู้ถึงความแข็งแกร่ง และคุณสมบัติที่โดดเด่นไม่ซ้ำใครของตัวเองอีกด้วย
"อันที่จริง ฉันคิดว่าตัวแคลริซ และเจ้าหญิงน้อยมีความคล้ายคลึงกันมากทีเดียว" จูลี แอนดรูว์สกล่าว "ซึ่งนั่นทำให้เธอทั้งคู่ไม่ลงรอยกันในตอนแรก พวกเธออารมณ์ร้อน แล้วก็ทะเลาะเบาะแว้งกันประจำในตอนแรก แต่ด้วยความที่ทั้งคู่มีอารมณ์ขันเหมือนๆ กัน ดังนั้น ในท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอก็ผูกพันกัน รวมถึงรักและยอมรับนับถือกันในตอนท้ายเรื่อง"
แอนดรูว์ส ผู้รับบทเป็นเอลิซา ดูลิตเติล คู่กับเรกซ์ แฮร์ริสัน ในเวทีบรอดเวย์เรื่อง My Fair Lady ของเลอเนอร์และโลว์ ปลาบปลื้มมากในการพลิกบทบาทใน The Princess Diaries
"ในบางมุม ฉันก็เหมือนกับเฮนรี ฮิกกินส์ ใน My Fair Lady เหมือนกัน เพราะฉันต้องสอนมีอาให้เดิน พูด แต่งตัว และปฏิบัติให้เหมือนเจ้าหญิง" แอนดรูว์สกล่าว "แล้วในที่สุด ฉันก็ช่วยให้เธอรับรู้ความรับผิดชอบที่ต้องมีต่อประเทศได้"
แคลริซ ตัวละครของแอนดรูว์สนั้น ยังปกป้องหลานสาวเป็นอย่างมากอีกด้วย เธอสั่งการให้โจเซฟ (เฮกเตอร์ เอลิซอนโด) หัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยของเจโนเวียน ตามติดมีอาทุกฝีก้าว
"เขาแข็งแกร่งมาก ไม่มีใครกล้าหือกับโจเซฟหรอก และเขาก็เป็นคนคอยดูแลมีอาด้วย" มาร์แชลล์กล่าวถึงตัวละครของเอลิซอนโด "ผมคิดว่า ทุกคนคงชอบที่ให้มีใครสักคนอยู่ใกล้ๆ คอยดูแลปกป้องจากสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับคุณในโรงเรียนน่ะ"
นอกจากนี้ โจเซฟยังได้รับคำสั่งให้เป็นคู่เรียนเต้นรำของมีอาอีกด้วย และภายใต้การจับตามองอย่างเข้มงวดของแคลริซ สาวเบ๊อะอย่างมีอาก็พลิ้วไปตามลีลาอันอ่อนช้อยของบทเพลงบนฟลอร์เต้นรำได้อย่างงดงาม ภายใต้การนำของโจเซฟ และเมื่อมีอาจากไป โจเซฟก็เข้าไปโค้งแคลริซให้ร่วมเต้นรำกับเขาด้วย ระหว่างที่ถ่ายทำฉากนี้นั้น ทุกคนในฉากหยุดการเคลื่อนไหวของตัวเอง พร้อมทั้งเฝ้ามองจูลี แอนดรูว์ส และเฮกเตอร์ เอลิซอนโดเต้นรำไปในบทเพลงที่ประพันธ์ขึ้นสำหรับฉากนี้โดยเฉพาะ โดยฝีมือของผู้ควบคุมดนตรี ซิดนีย์ เจมส์
The Princess Diaries ถ่ายทำในสถานที่หลายแห่งด้วยกันในแคลิฟอร์เนีย ที่ Sierra Madre โรงเรียนมัธยมอัลเวอร์โนได้ถูกสมมติให้เป็น Grove High โรงเรียนเอกชนในซานฟรานซิสโกของมีอา ซึ่งทีมงานได้ย้ายไปยังซานฟรานซิสโกเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อเก็บภาพสถานที่รอบๆ เมืองหลายแห่งด้วยกัน รวมถึง The Musee Mecanique สวนสนุกที่เป็นที่เก็บสะสมรถยนต์โบราณ ที่อยู่ใกล้กับภัตตาคาร Cliff House เก่าแก่ของซานฟรานซิสโก ที่ถูกถ่ายทำเป็นฉากหลัง ในฉากระหว่างแอนน์ แฮธาเวย์ และจูลีย์ แอนดรูว์ส ส่วนเนินเขารัสเซียของเมืองนั้น เป็นสถานที่ประกอบฉากที่มี มัสแตงปี 66 คันโปรดของมีอา รวมถึงรถรางเคเบิล และเนินเขาด้วย
นายกเทศมนตรีของซานฟรานซิสโก วิลลี บราวน์ ก็ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย โดยเขารับบทเป็นตัวเองในฉากสถานฑูตเจโนเวียน ซึ่งเขาจะต้องถูกสัมภาษณ์ ขณะเดินทางมาถึงงานเต้นรำของชาวเจโนเวียน
"ท่านนายกฯ บราวน์แสดงได้เก่งมากทีเดียว" แกร์รี มาร์แชลล์เล่า "ท่านรู้วิธีไม่ให้ถูกกลืนไปกับฝูงชน จากคนเล่นโยนลูกแพร รวมถึงสาวสวยในชุดราตรีสั้นได้เป็นอย่างดี"
เมื่อเจ้าหญิงรัชทายาทเปิดปากพูด บรรดาสื่อมวลชนก็กลุ้มรุมมีอา และครอบครัวของเธอ และก็ทำให้เธอเป็นจุดสนใจของเพื่อนักเรียนบางคนที่ไม่ชอบหน้าเธอขึ้นมาทันที เช่นเดียวกันกับจอช ไบรอันต์ (อีริก ฟอน เดตเตน) หนุ่มที่เธอแอบปิ๊งอยู่เงียบๆ ก็ดูเหมือนจะถูกตาต้องใจเธอขึ้นมาในทันทีเหมือนกัน และแล้ว เขาก็ขอให้เธอเป็นคู่เดตไปงานเลี้ยงที่ Baker Beach ด้วย
ชายหาดซูมาอันยาวเหยียดของมาลิบู ได้ถูกแปลงเป็น Baker Beach ของซานฟรานซิสโก สำหรับงานเลี้ยงที่แมนดี มัวร์ ในบทของเลนา ได้ออกมาร้องเพลงร่วมกับเพื่อนๆ อย่างแอนนา (เบธ แอนน์ แกร์รีสัน) และฟอนตานา (บิแองกา โลเปซ) ด้วย จอชได้พามีอาแล่นเรือไปกับเขา และบรรดาฝูงชนก็เต้นรำกันอย่างสนุกสนานตลอดเย็น แต่แล้วงานเลี้ยงคืนนั้นก็จบลงด้วยฝันร้ายที่มีปาปาราสซีตามหลอกหลอน ทั้งเฮลิคอปเตอร์ และแสงไฟจากแฟลชที่มีมาอย่างไม่หยุดยั้ง จนทำให้ฝันหวานจากการเดตครั้งแรกของเจ้าหญิงน้อยแปรเปลี่ยนเป็นขมภายในพริบตา
St. Mary's College ใกล้ๆ กับย่านธุรกิจของลอสแองเจลิส ซึ่งเคยเป็น Doheny Mansion มาก่อนนั้น ได้ถูกสมมติเป็นสถานกงสุลเจโนเวียน สถานที่ถ่ายทำฉากหลักๆ หลายฉากในภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นการพบกันครั้งแรกของมีอากับราชินี แคลริซ เสด็จยายของเธอ การเรียนเต้นรำ การแปลงโฉมเธอจากสไตลิสต์จอมหยิ่งอย่างเปาโล รวมถึงงานเต้นรำประจำฤดูกาลของเจโนเวียนด้วย
"Doheny Mansion เป็นผลงานชั้นยอดเลยทีเดียว" เมย์น เบิร์ก ผู้รับหน้าที่โปรดักชันดีไซเนอร์กล่าว "แมนชันนี้สร้างขึ้นในช่วงปี 1896 และ 1903 และส่วนเอเทรียมก็สร้างเพิ่มในปี 1917 คอมฟอร์ต ทิฟฟานี เป็นคนออกแบบโดมแสนสวยของเอเทรียมด้วยตัวเองเลย ซึ่งมีการถ่ายทำฉากงานเต้นรำที่นั่นด้วย เป็นสถานที่ๆ วิเศษมากจริงๆ"
แมนชันนี้ประกอบไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ ภาพวาด เครื่องเงิน และเครื่องลายครามโบราณของคุณนายโดเฮนี ซึ่งยังคงเก็บไว้ที่บ้านนี้หลังจากที่เธอไปจากอาคารและข้าวของทั้งหลายเพื่อเข้าโบสถ์ ตอนนี้มันกลายเป็นสาขาของ Mt. St. Mary's College อาคารนี้กลายมาเป็นออฟฟิศฝ่ายบริหารและส่วนที่พักอาศัยของโรงเรียนไปแล้ว และยังคงเปิดใช้งานขณะที่มีการถ่ายทำเกิดขึ้นที่นั่น
ส่วนฉากอื่นๆ ที่กำหนดให้อยู่ในสถานกงสุลเจโนเวียน รวมถึง ฉากงานเลี้ยงอาหารค่ำตามพิธีการ ซึ่งข้อผิดพลาดในงานสังคมของมีอานั้น กลายเป็นจุดสนใจของทุกคน ได้มีการถ่ายทำกันที่สเตจ 2 ของดิสนีย์ ซึ่งเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำ Mary Poppins ของจูลี แอนดรูว์สด้วย
"ถนนที่ครอบครัวแบงก์สอาศัยอยู่นั้นก็ใช้สเตจนี้เช่นกัน" แอนดรูว์สกล่าวถึง "ฉันจำได้ว่า ถนนนี้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นอย่างดี แม้ว่าสถานที่ของดิสนีย์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในหลายปีมานี้ นับตั้งแต่เราถ่ายทำ Mary Poppins วันนี้ สถานที่ภายนอกทั้งหมดเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก"
L.A. Rock Gym สถานที่หย่อนใจที่ตั้งอยู่ใน Hawthorne กลายเป็น Rock Around The Clock ที่ทำงานพิเศษหลังโรงเรียนเลิกของมีอา สถานที่นี้ถูกจัดเป็นฉากหลังในการเปิดใจระหว่างมีอา และแม่ของเธอ เช่นเดียวกับเป็นสถานที่ถ่ายทำฉากที่มีอามีความรู้สึกดีๆ ให้กับไมเคิลมากขึ้นเป็นครั้งแรกด้วย
แอนน์ แฮธาเวย์ได้เรียนการปีนเขาสำหรับเข้าฉากเหล่านี้ด้วย และเธอก็พบว่ามันน่าสนใจมาก
"ฉันสนุกจริงๆ กับการที่ได้ลองอะไรใหม่ๆ และมันก็สนุกมากๆ เลยด้วย" แฮธาเวย์เล่าถึงกีฬาดังกล่าว "ฉันชอบเล่นกีฬามาก และฉันก็รู้สึกว่า การเล่นกีฬาเป็นวิธีที่เยี่ยมที่สุดในการทำให้ร่างกายพร้อมอยู่ตลอดเวลา และก็รู้สึกดีกับตัวเองด้วย"
ผู้กำกับแกร์รี มาร์แชลล์เข้าใจความรักการกีฬาของนักแสดงรุ่นน้องคนนี้เป็นอย่างดี "ผมรักกีฬา ดังนั้น ผมจึงใส่กีฬาเข้าไว้ในหนังทุกเรื่องของผม" มาร์แชลล์กล่าว "ใน The Princess Diaries นั้น เรามีหนุ่มสาวที่เล่นฟุตบอล เบสบอล กอล์ฟ แล่นเรือ และการเชียร์…และแมนดี มัวร์ก็เป็นหนึ่งในเชียร์ลีดเดอร์ด้วย
ในระหว่างหยุดพักการถ่ายทำนั้น มาร์แขลล์ได้รับการสอนควงคฑาจากมัวร์ และบรรดาเชียร์ลีดเดอร์ทั้งหลาย อันประกอบด้วย เบธ แอนน์ แกร์ริสัน และบิแองกา โลเปซด้วย
ในเมืองนี้ไม่ได้มีเพียงการกีฬาเท่านั้น ไมเคิล (รอเบิร์ต ชวาร์ตซ์แมน) พี่ชายของลิลลี ก็เล่นดนตรีอยู่ในวงดนตรีร็อคที่ชื่อ Fly Paper ในยามที่เขาไม่ต้องช่วยงานที่อู่ซ่อมรถของด็อก มอเตอร์ ส่วนหนุ่มเจ้าสำบัดสำนวนอย่างเจเรไมอาห์ (แพทริก ฟลูเกอร์) ก็มีดีทางด้านมายากล ที่แสดงให้ดูเฉพาะสาวคนโปรดอย่างลิลลี (ฮีเธอร์ มาตารัซโซ) ที่ปรารถนาเป็นอย่างยิ่งให้หนุ่มเฟอะคนนี้หายตัวไปเลยเท่านั้น
ในตอนแรก รอเบิร์ต ชวาร์ตซ์แมนรู้สึกประหม่ามาก ก่อนการออดิชันกับแกร์รี มาร์แชลล์ แต่ก็ระงับความตื่นเต้นไว้ได้ เมื่อพวกเขาได้พูดคุยกันถึงบทบาทนั้น
"ตอนแรก ผมรู้สึกสติแตกในการออดิชัน แต่แล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นหลังจากได้พูดคุยกับแกร์รี" ชวาร์ตซ์แมนกล่าว "เราคุยกันถึงว่าผมเป็นใคร และเกี่ยวกับงานอดิเรกของผม…ผมเล่นดนตรี และนั่นก็เป็นสิ่งที่พวกเขามองหาอยู่พอดี นักดนตรีสักคน ที่จะมารับบทเป็นไมเคิล" ชวาร์ตซ์แมนนั้นเป็นนักร้อง/นักแต่งเพลง พร้อมทั้งเล่นคีย์บอร์ด และกีตาร์ให้กับวง Rooney ของแอลเอ และตัวละครของเขา ไมเคิลนั้น ก็เป็นคนที่หลงใหลดนตรี…และมีอา
"ผมว่า ไมเคิลน่ะสนใจมีอาก็เพราะเธอไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ" ชวาร์ตซ์แมนกล่าว "เธอทำผิดพลาด อย่างเรื่องอายไม่เป็นเรื่องในชั้นเรียนโต้วาที แต่ก็มาแก้ตัวได้ใหม่ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเขาก็รักเธอเพราะเธอเป็นแบบนี้แหละ"
แพทริก ฟลูเกอร์ ชาวเมืองเรดวิงก์ มินเนโซตา เป็นเพียงนักแสดงบทละครในโรงเรียนมัธยมและโรงละครท้องถิ่นเท่านั้น เมื่อเขาได้รับบทใน The Princess Diaries โดยที่ลูกพี่ลูกน้องและเพื่อนบางคน ซึ่งเป็นผู้กำกับการคัดเลือกนักแสดงในมินเนอาโพลิส เป็นคนส่งเทปการแสดงของเขาให้แกร์รี มาร์แชลล์
"แกร์รีชอบเทปม้วนนั้น ดังนั้น พวกเขาจึงส่งบททดสอบมาให้ผม แล้วผมก็ไปพบเขา" ฟลูเกอร์เล่า "เขาเป็นตำนานเลยนะ ผมก็ออกอาการเงอะๆ งะๆ ผมไม่เคยคิดเลยว่า ตัวเองจะประหม่าได้ถึงขนาดนั้น!"
"ตัวละครของผม เจเรไมอาห์นั้น เก่งด้านคอมพิวเตอร์และมายากล เขาใส่ต่างหูข้างเดียว และย้อมผมสีแดงเพลิงด้วย" ฟลูเกอร์พูดถึงตัวละครของเขา "เขาชอบลิลลี เมื่อเขามองเธอ เขาก็เห็นคนที่อยากจะไล่เตะเขาไปให้พ้นๆ จากเธอ ซึ่งเขาพบว่า มันน่าประทับใจจริงๆ เลย!"
แม้ว่า The Princess Diaries จะเป็นเรื่องราวแนวแฟนตาซี แต่ทีมงานก็ดูแลให้ตัวละครยืนอยู่ในพื้นฐานของความเป็นจริงด้วย
"เราพยายามคัดแต่เด็กจริงๆ มาแสดงในหนังเรื่องนี้" แกร์รี มาร์แชลล์กล่าว "ผมมีเด็ก 9 คนที่อายุต่ำกว่า 18 ในหนังเรื่องนี้ แต่มีความสามารถและใจสู้มาก หากคุณสังเกตดูหนังที่เป็นเรื่องราวของโรงเรียนมัธยมโดยส่วนใหญ่แล้ว คุณจะเห็นชายอายุราวๆ 45 ปี เฟิ้มไปด้วยหนวดเครา กำลังเล่นเป็นเด็กไฮสคูลอยู่ด้วย! แต่ใน The Princess Diaries เราจะทำอะไรอย่างตรงไปตรงมา เราใช้เด็กที่เป็นเด็กจริงๆ และก็เป็นเด็กตลกๆ ด้วย"
"แกร์รีไม่ต้องการให้เรื่องนี้เป็นเทพนิยายเพ้อฝัน เขาต้องการทำให้หนังเรื่องนี้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ให้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กหญิงจริงๆ ที่มีชีวิตในแบบปกติน่ะ" ผู้อำนวยการสร้างมาริโอ อิสโควิชกล่าว "เขาได้เพิ่มเทพนิยายและความเป็นแฟนตาซีเข้าไปในเรื่องนี้ แต่ก็อยู่บนพื้นฐานของคนจริงๆ ซึ่งผู้ชมสามารถสัมผัสได้"
โปรดักชันดีไซเนอร์เมย์น เบิร์ก เป็นคนสร้างลักษณะให้กับหนังเรื่องนี้ ด้วยการรวมบรรยากาศที่แตกต่างกันระหว่างบ้านแบบชาวยิปซีอันอบอุ่นที่มีอาอาศัยอยู่กับแม่ของเธอ และสถานกงสุลของเจโนเวีย เขตหวงห้าม ซึ่งมีอารู้สึกผิดที่ผิดทางตั้งแต่แรกเริ่ม
"ผมกับแกร์รีได้พบสถานีดับเพลิงดัดแปลงที่จะใช้เป็นบ้านของมีอาด้วยกัน แล้วเราก็ตกลงใจใช้สถานีดับเพลิงที่ Mission District of San Francisco จากนั้นก็สร้างฉากภายในขึ้นในสเตจของดิสนีย์" เบิร์กเล่า "เราต้องการให้สถานีดับเพลิงมีหอคอยด้วย ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยที่วิเศษมาก เนื่องจากเจ้าหญิงทุกองค์ย่อมอยากได้หอคอยกันทั้งนั้น และผมก็คิดว่า เด็กทุกคนที่กำลังโตนั้น ย่อมต้องการที่ๆ เป็นส่วนตัว ซึ่งเป็นที่ๆ จะนั่งคิดอะไรอยู่คนเดียวได้ โดยไม่มีใครมากวนใจด้วย"
และแล้วสถานีดับเพลิงก็กลายมาเป็นบ้านอันแสนอบอุ่นที่มีอาอาศัยอยู่กับแม่เป็นเวลาหลายปี ซึ่งทีมงานจะต้องทุ่มเทกับรายละเอียดในบ้านหลังนี้เป็นอย่างมากทีเดียว ผลงานของศิลปินหลายคนของแคลิฟอร์เนียถูกแสดงอยู่ในบ้านหลังนี้ ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นผลงานสร้างสรรค์ชั้นยอดตลอดหลายปีที่ผ่านมาของเฮเลน โดยคุณจะมองเห็นได้จากการตกแต่งภายใน ในสถานีดับเพลิง Mission/Craftsman แห่งนี้ เบิร์กและทีมงานของเขาได้ร่วมมือกับแอนน์ แฮธาเวย์ และแคโรไลน์ กูดอลล์ ในการนำปูมหลังจริงๆ ของพวกเธอไปใส่ไว้ในตัวละคร โดยใช้ฉากในบ้านเป็นสื่อ
"ทั้งแอนน์และแคโรไลน์ต่างก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างนี้ โดยนำรูปถ่ายจริงๆ ของพวกเธอ ในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตที่ผ่านมา" เบิร์กกล่าว "มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากเลย อย่างการนำเอารูปถ่ายเก่าๆ มาติดไว้ที่ตู้เย็น ก็ทำให้ที่ว่างสมจริงยิ่งขึ้น และก็ยังช่วยให้นักแสดงรู้สึกเหมือนอยู่บ้านตัวเองจริงๆ อีกด้วย"
นอกจากนี้ ทางทีมงานยังได้ใช้บันไดของนักดับเพลิงจริงๆ ประกอบฉากด้วย ซึ่งเป็นที่ที่เฮเลนใช้แขวนภาพเขียนสีน้ำมันขนาดใหญ่ของเธอ และยังมีเสาต้นใหญ่สำหรับนักดับเพลิงโหนตัวลงมาด้วย
"บางครั้งเวลาตื่นสาย มีอาก็ใช้เสาต้นนี้โหนตัวลงมาเหมือนกัน" แกร์รี มาร์แชลล์เล่า "ดังนั้น ขณะที่เราถ่ายทำฉากนี้ ทุกคนก็จะคิดเหมือนๆ กันว่า น่าสนุกดีนะ แล้วทั้งผมและทีมงานต่างก็ลองโหนลงมาจากเสาที่ว่านั่น เพราะแต่ละคนก็อยากลองเป็นนักดับเพลิงกันดูทั้งนั้น แต่ผมไถลลงมาจากที่สูงได้ไม่ค่อยดีนักหรอก…"
โลกอันแสนหรูหรา สง่างามของราชินีแคลริซ เรนัลดีนั้น ช่างตรงข้ามกับบ้านหลังอบอุ่นของมีอาราวฟ้ากับดิน ซึ่งไม่เพียงแค่การสะท้อนออกมาในรูปของการตกแต่งบ้านเท่านั้น แต่ยังมองเห็นได้จากชุดเสื้อผ้าที่แคลริซ ซึ่งรับบทโดยจูลี แอนดรูว์สสวมใส่อีกด้วย
ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายหรือคอสตูมดีไซเนอร์แกรี โจนส์ ซึ่งเป็นผู้ออกแบบเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของมีอาตั้งแต่เป็นยูนิฟอร์มเรียบๆ ของโรงเรียน ไปจนถึงชุดราตรีงานเต้นรำสุดอลังการ เขาเคยร่วมงานกับแกร์รี มาร์แชลล์มาก่อนหน้านี้แล้ว และก็ยังคงตื่นเต้นเมื่อได้ร่วมงานกับทีมสร้างสรรค์ของ The Princess Diaries
"ผมยอมรับว่า ตอนแรกนั้น ผมรับงานนี้เพราะแกร์รี มาร์แชลล์ แต่หลังจากนั้น ผมถึงได้รู้ว่า นี่เป็นฝันอันเป็นจริงของคอสตูมดีไซเนอร์เลยทีเดียว" โจนส์เล่า "ในหนังเรื่องนี้มีทั้งเจ้าหญิง และการเต้นรำของราชวงศ์ มันเป็นเรื่องของเครื่องแต่งกายแท้ๆ เลย และยังมีจูลี แอนดรูว์สด้วย เธอเป็นความฝันของผมเลยทีเดียว และเธอก็ทำให้สิ่งที่ผมลงมือทำในหนังกว่า 300 ครั้งนี้ ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยด้วย"
โจนส์ได้ร่วมงานกับแอนดรูว์สอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเขาจะต้องออกแบบเครื่องแต่งตัวในแต่ละวันให้กับแคลริซ รวมถึงในงานเลี้ยงรับรอง และงานเต้นรำสุดหรูซึ่งเป็นฉากเด่นในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย
"เสื้อผ้าหลายๆ ชุดที่เราทำขึ้นมาให้กับแคลริซนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นการแสดงความนับถือต่อดีไซเนอร์ชั้นนำของโลกแทบทั้งนั้น อาทิ ชุดสูทที่มีรูปแบบคล้าย Chanel เครื่องประดับหลายชิ้นที่ได้แรงบันดาลใจมาจากของ Bill Blass และชุดราตรีในงานเต้นรำของแคลริซก็มีส่วนคล้ายของ Dior เช่นกัน" โจนส์กล่าว "ชุดที่แคลริซสวมในงานเลี้ยงรับรองนั้น เป็นการหยิบยืมไอเดียเล็กน้อยมาจากชุดที่เธอสวมไปงานเต้นรำ ในละครบรอดเวย์เรื่อง My Fair Lady ซึ่งเธอรับบทเป็นเอลิซา ดูลิตเติล มันทำด้วยผ้าไหมโปร่ง ประดับด้วยลูกปัด ซึ่งเป็นงานทำด้วยมือจากเมืองจีน และใช้เวลาอีกเพียงเล็กน้อยในการประกอบให้เข้าชุด"
นอกจากนี้ โจนส์ยังร่วมงานกับแอนน์ แฮธาเวย์ ในการเปลี่ยนแปลงภาพภายนอกของมีอาตลอดทั้งเรื่องเลยทีเดียว
"เราคุยกันว่า ตัวมีอานั้นอายรูปร่างของเธอ และเพราะอย่างนั้น เธอจึงสวมเสื้อทับกันหลายๆ ชั้น กับผ้าพันคอผืนยาว ซึ่งแน่นหนามิดชิดกว่าเด็กคนอื่นๆ" โจนส์กล่าว "โอกาสแรกที่เธอจะได้ลอกคราบมาเป็นสาวสวยโลกตะลึงก็คือ ในงานเลี้ยงรับรองที่กงสุลเจโนเวียนนั่นเอง และแม้ว่าเธอจะยังเข้าสังคมชั้นสูงไม่ค่อยคล่องนัก แต่เธอก็ดูผ่อนคลายมากทีเดียว"
เครื่องแต่งกายชุดนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากชุดที่โจนส์เห็นเจ้าหญิงแห่งสวีเดนทรงอยู่ ซึ่งทำมาจากผ้าไหมย่นสีฟ้า กับคอปกตั้ง "มันเป็นชุดสมัยเรอเนสซองส์ ผสมกับโรเมโอ และจูเลียตน่ะ" โจนส์กล่าว
ไม่มีนิทานเรื่องใดจะจบบริบูรณ์ได้ หากปราศจากเครื่องเพชรสุดหรู และโจนส์ก็ติดต่อกับแฮร์รี วินสตัน เพื่อขอยืมชุดเด่นๆ ที่มีไม่ซ้ำแบบ เพื่อใช้ในการทำงานหลายชุดด้วยกัน ซึ่งแต่ละครั้งที่นำมาใช้นั้น ก็จะมีการคุมเข้มจากฝ่ายรักษาความปลอดภัย ซึ่งจะคอยเฝ้าดูอยู่หลังฉาก เพื่อดูแลเครื่องเพชรล้ำค่าเหล่านั้น
"เราใช้ไฟเป็นจำนวนมากในการถ่ายทำฉากงานเต้นรำ" โจนส์เล่า "เราประดับชุดราตรีแพรบางสีพีชของแอนดรูว์ส ด้วยแหวนเพชรน้ำงาม และสร้อยคอแพลตินัม ที่มีเพชรหนักเกือบ 100 กะรัต เรียงกัน 4 แถว รวมทั้งต่างหูคลาสสิกที่เข้าคู่กันเป็นอย่างดี โดยแต่ละข้างมีน้ำหนักประมาณ 3 กะรัต
สำหรับงานเลี้ยงรับรองนั้น แอนดรูว์สสวมแหวนเพชรกับสร้อยคอแพลตินัมหนัก 18 กะรัต ซึ่งเด่นสะดุดตามากทีเดียว และมันก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของหนังไปโดยปริยาย
"พวกเราโดนแหวนวงนั้นบดบังรัศมีหมดเลย" โจนส์กล่าวพลางหัวเราะ "เพราะแหวนวงนั้นได้มีช็อตของตัวเอง และก็ใช้แสดงในตัวมันเองด้วย"
"ความเห็นของผมเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ก็คือ มีอาคือเจ้าหญิง ยังไงๆ เธอก็เป็นเจ้าหญิงวันยังค่ำ เพียงแต่เธอยังไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง" เมย์น เบิร์ก ผู้ออกแบบงานสร้างหรือโปรดักชันดีไซเนอร์กล่าว "เธอแค่มีปัญหาเกี่ยวกับความนับถือตนเองเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นแล้ว เธอก็มีคุณสมบัติความเป็นเจ้าหญิงครบถ้วนทุกประการ"
ผู้อำนวยการสร้างวิทนีย์ ฮุสตันก็เห็นจริงด้วยกับความรู้สึกเช่นนี้ "ไม่มีใครรู้หรอกว่า จริงๆ แล้วเขาเป็นเจ้าหญิงหรือเปล่า จนกว่าจะมีใครสักคนเข้ามาในชีวิต แล้วบอกให้รู้เท่านั้นแหละ" ฮุสตันกล่าว "แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะต้องเป็นเชื้อพระวงศ์เท่านั้นนะ มันหมายถึง สิ่งที่คุณรู้สึกภายในตัวเองต่างหาก…มันหมายถึงวิธีที่คุณดูแลและรักตัวเองมากกว่า"
ผู้กำกับแกร์รี มาแชลล์ ซึ่งมีภาพยนตร์หลากหลายแนวที่มีธีมเรื่องที่สอดคล้องกับการรู้จักและเปิดใจกับความสามารถและพรสวรรค์เฉพาะทางของตัวเอง ก็หวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะจับใจผู้ชมทุกเพศทุกวัยได้
"เรามีนักแสดงชั้นเยี่ยม บวกกับเรื่องราวอันเยี่ยมยอด ตลอดจนมุขตลกมากมาย" มาร์แชลล์กล่าว "ผมได้แต่หวังว่า เมื่อผู้ชมได้ดูหนังเรื่องนี้แล้ว พวกเขาจะได้มีช่วงเวลาแห่งความสุข และกลับออกมาพร้อมกับรู้สึกนับถือตัวเองมากขึ้น สิ่งที่ผมหวังไว้มากก็คือ มันจะช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เด็กๆ และวัยรุ่น ให้พวกเขาได้เรียนรู้ว่า เขามีโอกาสที่จะทำให้สิ่งที่แตกต่างออกไปในโลกใบนี้ และให้พวกเขาได้เชื่อมั่นในตนเอง"
(ยังมีต่อ)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ