กรุงเทพฯ--21 เม.ย.--บีโอไอ
บีโอไอเผยทิศทางการลงทุนกลุ่มอุตฯเกษตรและผลิตผลจากการเกษตรสดใส ชี้อนุมัติลงทุนแล้วรวมกว่า 27,000 ล้านบาท กระตุ้นการใช้วัตถุดิบในประเทศกว่า 84,400 ล้านบาทต่อปี สร้างรายได้จากการส่งออกสูงกว่า 62,600 ล้านบาทต่อปี ผู้ประกอบการเน้นจับมือสถาบันวิจัย –สถาบันการศึกษาเร่งพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน เผยดันนโยบาย Food Innopolis
นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2559 ที่ผ่านมา การลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตรมีทิศทางขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอแล้วรวม 78 โครงการ เงินลงทุนกว่า 27,041 ล้านบาท และเมื่อโครงการทั้งหมดเปิดดำเนินการประเมินว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งจากมูลค่าการใช้วัตถุดิบในประเทศปีละกว่า 84,400 ล้านบาท และสร้างรายได้จากการส่งออกสูงกว่า 62,600 ล้านบาทต่อปี
สำหรับกิจการที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนมีจำนวนหลายโครงการที่เป็นการนำนวัตกรรมและวิทยาศาสตร์มาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เช่น โครงการผลิตกะทิแช่แข็งและซอสปรุงรสต่างๆ ซึ่งผู้ประกอบการได้ผ่านการเข้าร่วมวิจัยกับศูนย์วิทยาศาสตร์ประสาทสัมผัสเชิงโมเลกุล พัฒนางานวิจัยด้านกลิ่นรสในอาหารไทย ที่จัดขึ้นระหว่างคณะวิทยาศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ Technical University of Munich โดยได้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตกะทิแช่แข็ง เพื่อให้กะทิเกิดการเปลี่ยนแปลงในคุณสมบัติต่างๆ น้อยเมื่อเทียบกับการแปรรูปโดยใช้ความร้อน ทั้งความหอม และสดใหม่ ลูกค้าสำคัญ มีทั้งร้านอาหารชื่อดังที่อยู่ใน 1 ใน 50 ร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลก รวมถึงโรงแรมชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ
กิจการผลิตเครื่องดื่มข้าวกล้องงอกผสมสมุนไพรชนิดผง เป็นการใช้วัตถุดิบหลักในประเทศซึ่งเป็นข้าวเปลือกสายพันธุ์ต่าง ๆ เช่น พันธุ์ไรซ์เบอรี่ พันธุ์สังข์หยด พันธุ์ก่ำดอย และพันธุ์หอมนิล โดยบริษัทผู้ลงทุนวางแผนจัดเจ้าหน้าที่ร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อให้ความรู้ และดูแลเกษตรกรตั้งแต่การปลูกข้าวและสมุนไพรไปจนถึงการเก็บเกี่ยวเข้าโรงงาน
กิจการผลิตสารให้ความหวานที่แปรรูปจากข้าวโพด เช่น มอลไทสไซรัป ฟรักโทสไซรัป และกลูโคส เพื่อป้อนให้กับตลาดของความต้องการบริโภคสารให้ความหวานในประเทศที่ปัจจุบันมีการนำเข้าในปริมาณสูง และยังไม่เพียงพอ
ล่าสุด บีโอไอยังได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนในกิจการสารสกัดจากเปลือกไข่ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ไบโอแคลเซียม และคอลลาเจน เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร ยาและเครื่องสำอาง ซึ่งกิจการดังกล่าวบริษัทผู้ลงทุนได้รับความร่วมมือจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTECH, NSTDA) กับบริษัทผู้ทำวิจัย ได้ร่วมกันทำวิจัยโครงการผลิตแคลเซียมชีวภาพและโปรคอลลาเจนจากเปลือกไข่เหลือทิ้งจนได้องค์ความรู้ที่สำคัญมาพัฒนาเพื่อดำเนินธุรกิจในเชิงพาณิชย์ โดยกิจการผลิตแคลเซียมในรูปแบบนี้เป็นกิจการแรกที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทย
"แนวโน้มของการลงทุนในกิจการอุตสาหกรรมเกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตรนั้นขยายตัว โดยเฉพาะจะมีรูปแบบของกิจการที่มาจากความร่วมมือกับสถาบันวิจัย สถาบันการศึกษา หรือนำผลงานการวิจัยและพัฒนา เข้ามาช่วยเพื่อให้เกิดการใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการพัฒนาคุณภาพ และลดต้นทุนการผลิต รวมถึงรองรับกับทิศทางของความต้องการของตลาด ซึ่งนอกจากจะช่วยด้านการใช้วัตถุดิบทางด้านผลผลิตทางการเกษตรแล้ว ส่วนหนึ่งยังส่งเสริมอุตสาหกรรมสนับสนุนทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะเกษตรกร ทำให้เศรษฐกิจท้องถิ่นหรือชุมชนเติบโตได้อย่างยั่งยืนตามนโยบายรัฐบาลอีกด้วย" นางหิรัญญา กล่าว
นางหิรัญญา กล่าวว่า บีโอไอมั่นใจว่า ทิศทางของการลงทุนในอุตสาหกรรมเกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตร ยังจะมีอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก โดยปัจจุบันบีโอไอ ยังได้ออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) ซึ่งจะทำให้การลงทุนในด้านอุตสาหกรรมเกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตร รวมถึงอุตฯอาหาร เติบโตได้อย่างครบวงจร และจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงถึง 8 ปี ไม่จำกัดวงเงินภาษีที่ได้รับยกเว้น และได้รับยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร รวมถึงสิทธิประโยชน์อื่นๆ ตามหลักเกณฑ์ทั่วไป