กรุงเทพฯ--21 เม.ย.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย
'ตราเพชร' มุ่งดันกลุ่มสินค้าอิฐมวลเบารับเทรนด์อาคารประหยัดพลังงานมาแรง เร่งสื่อสารสร้างความเข้าใจถึงผู้บริโภคและร้านค้าตัวแทนจำหน่ายถึงจุดเด่นผลิตภัณฑ์อิฐมวลเบา ช่วยป้องกันความร้อนเข้าสู่ตัวบ้านได้ดีแถมก่อสร้างได้เร็วกว่าอิฐมอญช่วยลดต้นทุนค่าแรง พร้อมจัดฝึกอบรมสัมมนาให้ความรู้แก่ช่างก่อสร้าง ช่วยกระตุ้นความต้องการใช้อิฐมวลเบาในการก่อสร้างผนังอาคาร หวังขยับสัดส่วนการใช้อิฐมวลเบาในตลาดผนังเพิ่มจากเดิมที่ 10% ของมูลค่าตลาดรวม 30,000 ล้านบาท
นายสาธิต สุดบรรทัด กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT ผู้ผลิตและจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ แผ่นบอร์ด ยิปซัม อิฐมวลเบาและบริการหลังการขายภายใต้แบรนด์ 'ตราเพชร' เปิดเผยว่า แผนดำเนินงานในช่วง 9 เดือนที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯ วางแผนผลักดันการขายสินค้าในกลุ่มอิฐมวลเบาภายใต้แบรนด์ 'ไดมอนด์บล็อก' ที่เป็นวัสดุทดแทนอิฐมอญในการก่อผนัง โดยมุ่งเน้นผลักดันสินค้าในรูปแบบอิฐมวลเบาแบบก้อนและแบบแผ่นผนังมวลเบา (Wall Panel) คานทับหลังมวลเบาสำเร็จรูป เนื่องจากมองเห็นโอกาสขยายตลาดจากการนำอิฐมวลเบาไปใช้ในการก่อผนังที่ยังมีโอกาสทางการตลาดอีกมาก
ทั้งนี้ บริษัทฯ จะใช้กลยุทธ์ด้านความหลากหลายของตัวผลิตภัณฑ์อิฐมวลเบาพร้อมนำเสนอการขายสินค้าในลักษณะรูปแบบแพ็คเกจกับสินค้าวัสดุก่อสร้างประเภทอื่นๆ ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์อิฐมวลเบา กระเบื้องหลังคาและไม้สังเคราะห์ ให้แก่กลุ่มลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์ ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังเน้นการจัดฝึกอบรมจัดฝึกอบรมและสัมมนาให้ความรู้แก่ช่างฝีมือ และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายวัสดุก่อสร้างในต่างจังหวัดเพื่อนำเสนอรายละเอียดและจุดเด่นของคุณสมบัติผลิตภัณฑ์ ที่ช่วยป้องกันความร้อนจากภายนอกเข้าสู่ตัวอาคารได้ดีกว่าอิฐมอญถึง 4-8 เท่า จึงเหมาะกับสภาพอากาศร้อนของประเทศไทยและเทรนด์การก่อสร้างบ้านและอาคารประหยัดพลังงานในปัจจุบัน โดยสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าถึง 25% และระยะเวลาการก่อสร้างได้รวดเร็วกว่าอิฐมอญ 2-3 เท่า ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในด้านก่อสร้างได้อีกด้วย
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งขยายตลาดผ่านช่องทางห้างค้าปลีกวัสดุสมัยใหม่และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายในภูมิภาคเพิ่มเติม โดยเฉพาะสาขาในจังหวัดที่มีชาวต่างชาติเข้ามาปักหลักสร้างถิ่นฐานในประเทศไทยเนื่องจากมีความเข้าใจในคุณสมบัติของอิฐมวลเบาที่ดีอยู่แล้ว โดยคาดว่าด้วยแผนงานดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้เกิดความต้องการใช้อิฐมวลเบาในการก่อสร้างผนังอาคารเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมตลาดอิฐมวลเบาที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดีจากปัจจุบันที่มีสัดส่วนคิดเป็น 10% จากตลาดรวมผนังโดยรวมที่มีมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท
"อิฐมวลเบายังมีโอกาสเพิ่มสัดส่วนใช้งานเพื่อก่อสร้างผนังอาคารทดแทนการใช้อิฐมอญได้อีกมาก เนื่องจากคุณสมบัติที่มีความโดดเด่นมากกว่าหลายด้าน เราจึงเร่งสื่อสารสร้างความเข้าใจให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้บริโภคและทีมช่างที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อให้ทราบถึงคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ ในด้านประหยัดพลังงาน พร้อมอบรมทีมช่างให้มีความชำนาญการก่อฉาบอิฐมวลเบา ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้อิฐมวลเบาในการนำไปใช้ก่อสร้างผนังอาคารมากยิ่งขึ้น" นายสาธิต กล่าว