กรุงเทพฯ--26 เม.ย.--ธนาคารอาคารสงเคราะห์
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ประกาศความสำเร็จในการเดินหน้าโครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยตามนโยบายรัฐบาล ทั้ง "มาตรการเพื่อส่งเสริมการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยแก่ผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง" ยอดอนุมัติล่าสุดทำได้ถึง 21,107 ล้านบาท ส่วน "โครงการบ้านประชารัฐ" ล่าสุดมีจำนวนลูกค้าติดต่อสอบถามและแจ้งความประสงค์ยื่นคำขอกู้รวม จำนวน 26,173 ราย คิดเป็นวงเงินกู้ 21,594 ล้านบาท พร้อมโชว์ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/2559 ยังคงเติบโตดีอย่างต่อเนื่องสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ 37,723 ล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 19.20% ดันยอดสินเชื่อคงค้างรวม 878,367 ล้านบาท สินทรัพย์รวม 939,651 ล้านบาท เงินฝากรวม 765,656 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,568 ล้านบาท ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ยังอยู่ในระดับแข็งแกร่งมากที่ 16.43%
นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล ประธานกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวถึงความสำเร็จในการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาว่า นับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2558 ธอส.ได้ดำเนินโครงการสินเชื่อรูปแบบใหม่ที่มุ่งเน้นสร้างโอกาสให้แก่ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้มากขึ้น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัยของรัฐบาล 10 ปี (พ.ศ.2559-2568) ซึ่งตั้งเป้าหมายให้ผู้มีรายได้น้อยกว่า 2.7 ล้านครัวเรือน จากทั้งหมด 4.6 ล้านครัวเรือน ที่ยังไม่มีที่อยู่อาศัยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดย ธอส. ได้จัดทำ "มาตรการเพื่อส่งเสริมการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยแก่ผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง" ที่เริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2558 วงเงินให้กู้ต่อรายไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นมาตรการที่ช่วยให้ประชาชนได้รับวงเงินกู้ที่สูงขึ้นเพียงพอต่อการซื้อบ้าน ด้วยการใช้เงื่อนไขผ่อนปรนในการพิจารณาสัดส่วนความสามารถชำระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio หรือ DSR) เพิ่มเป็น 40-50% ของรายได้สุทธิต่อเดือนล่าสุดมียอดยื่นกู้สะสมถึง 23,515 ล้านบาท ยอดอนุมัติสินเชื่อ 15,239 ราย คิดเป็นวงเงิน 21,107 ล้านบาท
และเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2559 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ ธอส.ร่วมจัดทำ "โครงการบ้านประชารัฐ" วงเงินรวม 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็น สินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) วงเงิน 10,000 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Post Finance) สำหรับประชาชนทั่วไป กรอบวงเงินรวม 20,000 ล้านบาท ให้กู้สำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยมาก่อนรายละไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ซึ่งหลังจากเปิดรับคำขอยื่นกู้ไปตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2559 ล่าสุด ณ วันที่ 20 เมษายน 2559 มีจำนวนลูกค้าติดต่อสอบถามและแจ้งความประสงค์ยื่นคำขอกู้รวมจำนวน 26,173 ราย คิดเป็นวงเงินกู้ 21,594 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นจำนวนลูกค้าที่ยื่นเอกสารประกอบคำขอกู้ครบเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของธนาคารแล้ว 1,903 ราย คิดเป็นวงเงิน 1,681 ล้านบาท และได้รับอนุมัติสินเชื่อแล้วเป็นวงเงิน 413 ล้านบาท โดยผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการบ้านประชารัฐ ยังสามารถเข้ามายื่นคำขอกู้ได้ตามปกติ เนื่องจาก ธอส. ยึดหลักการให้เงินกู้แก่ผู้ที่มีความพร้อมในการยื่นกู้และทำนิติกรรมสัญญาก่อน
"ล่าสุด ครม. เมื่อวันอังคารที่ 19 เมษายน 2559 มีมติให้ ธอส. ร่วมสนับสนุน"โครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ" โดยการให้สินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) วงเงินสินเชื่อประมาณ 2,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปี ระยะเวลาการกู้ไม่เกิน 2 ปี และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Post Finance) วงเงินสินเชื่อประมาณ 2,500 ล้านบาท ให้กู้เพื่อให้ได้มีที่อยู่อาศัยบนที่ดินราชพัสดุ รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือซ่อมแซมที่อยู่อาศัยบนที่ดินราชพัสดุวงเงินไม่เกิน 5 แสนบาท อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี ในปีแรก ซึ่งธนาคารพร้อมดำเนินการทันทีที่กรมธนารักษ์สามารถจัดทำที่อยู่อาศัยทั้งเพื่อการเช่าระยะสั้น (Rental) ไม่เกิน 5 ปี และโครงการเช่าระยะยาว (Leasehold)ไม่เกิน 30 ปีได้เรียบร้อยแล้ว"นายสุรชัยกล่าว
ด้านนางไลวรรณ ปองเสงี่ยม รองกรรมการผู้จัดการกลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร ธอส. เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 /2559 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 ว่า จากความมุ่งมั่นในการทำหน้าที่เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่สร้างโอกาสให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของธนาคารในไตรมาสที่ 1/2559 ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ทั้งสิ้น 37,723 ล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปี 2558 ถึง 19.20% มีกำไรสุทธิ 2,568 ล้านบาท ด้านสินเชื่อคงค้างเมื่อเทียบกับปี 2558 ธนาคารมียอดสินเชื่อคงค้างรวมทั้งสิ้น 878,367 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.80% สินทรัพย์รวม 939,651 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.38% เงินฝากรวม 765,656 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.39% โดยมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จำนวน 49,992 ล้านบาท คิดเป็น 5.69% ของยอดสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก ณ สิ้นปี 2558 ซึ่ง NPL อยู่ที่ 5.45% ของสินเชื่อรวม อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ยังอยู่ในระดับแข็งแกร่งมากที่ 16.43% ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 8.50% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
"สาเหตุสำคัญที่ทำให้การปล่อยสินเชื่อใหม่ในไตรมาสแรกขยายตัวได้ถึง 19.20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ ปีก่อนนั้น เนื่องจากรัฐบาลให้ความสำคัญกับการสร้างโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัย เพื่อสร้างความมั่นคงในการดำรงชีวิตให้แก่ประชาชน จึงได้จัดทำมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการบ้านประชารัฐ การลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์จาก 2% เหลือ 0.01% และลดค่าธรรมเนียมการ จดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 28 เมษายน 2559 ส่งผลให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง เนื่องจากผู้ประกอบการต่างจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายที่กระตุ้นให้ประชาชนตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย และมั่นใจว่า ธอส. จะสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ในปีนี้ได้ตามเป้าหมายซึ่งกำหนดไว้ที่ 165,319 ล้านบาท" นางไลวรรณ กล่าว
รองกรรมการผู้จัดการกลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร ธอส. ยังยืนยันว่า จากสถานะที่แข็งแกร่งของธนาคารในปัจจุบัน ทำให้ยังมีความพร้อมในการสนับสนุนนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลเพิ่มเติม และขณะเดียวกันในเร็วๆ นี้ ธนาคารยังเตรียมเปิดตัวโครงการ "คลินิก ธอส. เพื่อบ้าน เพื่อประชาชน" ที่จะจัดทำขึ้นเพื่อให้คำแนะนำวิธีการเตรียมความพร้อมแก่ผู้มีรายได้น้อย ให้ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแนวทางการตอบแทนสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ด้านที่อยู่อาศัยของธนาคารอีกด้วย