กรุงเทพฯ--13 พ.ค.--สามารถคอร์ปอเรชั่น
เริ่มไตรมาสแรกปี 2559 กลุ่มบริษัทสามารถมีรายได้รวม 4,127 ล้านบาท กำไรสุทธิรวม 114 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องของสายธุรกิจไอซีทีซึ่งปัจจุบันมีงานอยู่ในมือแล้วกว่า 7,911 พันล้านบาท และการขยายตัวของธุรกิจอื่นๆในเครือ มั่นใจรายได้ปีวอกแตะ 24,000 ล้านบาท
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า "ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เศรษฐกิจไทยยังได้รับผลกระทบจากภาวะผันผวนของเศรษฐกิจโลกและภาวะซบเซาของเศรษฐกิจในประเทศ แต่ถึงอย่างไร กลุ่มบริษัทสามารถ ก็ยังดำเนินธุรกิจได้อย่างน่าพอใจ โดยมีรายได้รวม 4,127 ล้านบาท กำไรสุทธิ 114 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้งรายได้และกำไรเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสที่ผ่านมา แสดงถึงแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจที่เริ่มกลับมาเป็นบวก โดยสัดส่วนกำไรหลักๆ มาจากธุรกิจด้านไอซีทีของกลุ่มสามารถเทลคอม และธุรกิจอื่นๆ ส่วนกลุ่มสามารถไอ-โมบาย แม้จะสามารถจำหน่ายโทรศัพท์มือถือได้จำนวนมากในไตรมาสที่ผ่านมา แต่ราคาเฉลี่ยลดลงตามสภาพตลาด อย่างไรก็ตาม คาดว่าหลังการรุกธุรกิจใหม่ด้านออนไลน์อย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่ไตรมาสสองเป็นต้นไป จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มไอ-โมบายในทิศทางที่ดีขึ้น
โดยสรุป กลุ่มสามารถเทลคอม มีรายได้รวม 1,459 ล้านบาท กำไรสุทธิ 56 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้งรายได้และกำไรเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา มีงานในมือรวมแล้วกว่า 7,911 ล้านบาท มีงานในมือเฉพาะไตรมาสแรกแล้วกว่า 1,120 ล้านบาท ล่าสุด ได้ชนะประมูลโครงการมูลค่ากว่า 2,500 ล้านบาท คาดว่าจะเซ็นสัญญาได้ในปลายเดือนนี้ กลุ่มสามารถไอ-โมบาย มีรายได้ 1,446 ล้านบาท กลุ่มสามารถยูทรานส์ มีรายได้ 1,015 ล้านบาท เติบโตขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนสายธุรกิจอื่นๆ ประกอบด้วย บริษัท สามารถวิศวกรรม จำกัด และ บริษัท วิชั่น แอนด์ ซิเคียวริตี้ ซิสเต็ม จำกัด ก็มีรายได้รวม 121 ล้านบาท
โอกาสฉายแววสดใสของแต่ละสายธุรกิจ ในไตรมาสต่อไป
สาย ICT Solutions นำโดย บมจ.สามารถเทลคอม โดย SAMTEL จะมีโอกาสจากโครงการต่างๆที่เลื่อนประมูลมาปีนี้ รวมมูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท และที่สำคัญ SAMTEL ยังได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว จากโครงการระบบตรวจสอบและคัดกรองผู้โดยสาร (APPS) มูลค่ากว่า 2,800 ล้านบาทอีกด้วย
บมจ.สามารถไอ-โมบาย ผู้นำสายธุรกิจ Mobile-Multimedia อยู่ในช่วงการเปลี่ยนถ่ายธุรกิจเดิมให้สอดรับกับยุคออนไลน์ โดยจะลดสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายโทรศัพท์มือถือลงให้เหลือเพียง 60 เปอร์เซ็นต์ และไปเพิ่มรายได้ประจำจากธุรกิจบริการอื่นๆ โดยเฉพาะธุรกิจออนไลน์ ล่าสุดบริษัทฯ ได้เข้าไปซื้อบริษัทPhoinikas ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับ Digital Advertising เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจใหม่และสร้างความมั่นคงในอนาคต นอกจากนี้ จะปรับโฉมร้านใหม่ภายใต้แบรนด์ OPEN SHOP เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ที่ทันสมัยและเป็นศูนย์รวมของโทรศัพท์มือถือและ Lifestyle Gadget มากมาย โดยตั้งเป้าทยอยปรับเปลี่ยนร้านทั้งหมด จำนวน 28 สาขาในปีนี้ นอกจากนี้ ยังมีการเปิดให้บริการ MVNO บนเครือข่ายของ CAT ในชื่อ Open MVNO โดยล็อตแรกตั้งเป้า 2 แสนซิม ส่วนธุรกิจมือถือ ไตรมาส 2 จะมี 3 รุ่นที่ออกจำหน่าย โดยเน้นฟังก์ชั่น Android 6.0 (Marshmallow) ซึ่งมีหน้าจอขนาดใหญ่ 5 นิ้ว แบบ Super Bright AMOLED โดยตั้งเป้าจำหน่ายเครื่องที่ 8 แสนเครื่อง
ส่วนสายธุรกิจ U-trans ซึ่งประกอบด้วย CATS, Kampot Power Plant และ Teda บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านระบบและเสาส่งไฟฟ้า ล่าสุดคว้างานมูลค่ากว่า 1.2 พันล้านบาท ในงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูงและสายส่งไฟฟ้าแรงสูงขอนแก่น รวมถึงการจัดหาและก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูงในบางเขตของระยอง อ่างทอง และอยุธยา โดยธุรกิจโรงไฟฟ้ายังมีการขยายตัวต่อเนื่อง และเป็นธุรกิจที่หนุนให้กำไรของกลุ่มมีโอกาสสูงขึ้น คาดว่าภายใน 2 ปีข้างหน้า จะมีโอกาสการเติบโตที่สูงขึ้น จากการรับงานก่อสร้างโรงงานไฟฟ้าที่เป็นเมกะโปรเจ็กต์ เช่น โครงการพลังงานไฟฟ้าถ่านหินขนาด 2000 เมกะวัตต์ และโครงการไฟฟ้าขยะในหลายๆจังหวัด
สุดท้าย สายธุรกิจ Related Business โดยล่าสุดสามารถวิศวกรรมเปิดตัวสินค้าใหม่ SAMART Digital Headend Solution หรือ ระบบทีวีรวมดิจิทัล สำหรับอาคารสูงเพื่อรุกธุรกิจดิจิทัลให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ตั้งเป้ารายได้ ปีนี้ ที่ 100 ล้านบาท มั่นใจ 3 ปี มีรายได้ประมาณ 1 พันล้านบาท ส่วนธุรกิจของบมจ.วันทูวัน คอนแทคส์ มีโอกาสเข้าประมูลอีกหลายโครงการรวมมูลค่ากว่า 570 ล้านบาท ตั้งเป้าเติบโต 10 เปอร์เซ็นต์ ด้วยกลยุทธ์การขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม Insurance & Finance, Airline และ FMCG (Fast Moving Consumer Goods) เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตสูง และให้ความสำคัญกับการให้บริการลูกค้าและการสื่อสารทางการตลาดในวงกว้าง ทางบริษัทจะนำเสนอนวัตกรรมการให้บริการต่างๆเพื่อสอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่เน้นการเข้าถึงทางด้านอินเตอร์เน็ตและ Social Media รวมถึงการพัฒนาระบบในการให้บริการ ทั้ง Cloud Contact Center และการจัดการบริหารบริการอื่นๆของลูกค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น
"ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งภายในและต่างประเทศกำลังเริ่มคลี่คลาย บวกกับปริมาณงานโครงการที่เราจะร่วมประมูลเยอะกว่าทุกปี เราจึงมีโอกาสที่จะได้งานจำนวนมาก ผมจึงมีความมั่นใจว่าจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้" นายวัฒน์ชัย กล่าวปิดท้าย