กรุงเทพฯ--16 พ.ค.--สยาม พีอาร์ คอนซัลแทนท์
บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI โชว์ศักยภาพการบริหารงานเติบโตอย่างมั่นคง สวนกระแส เศรษฐกิจ โดยในไตรมาสแรกของปี 2559 บริษัทสร้างรายได้เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเกินกว่ายอดรายได้ที่ประมาณการไว้ถึง 32.8% ส่งผลให้มีรายได้รวม 532 ล้านบาท นอกจากนี้ ในไตรมาสแรกของปี 2559 สามารถสร้างยอดขายพรีเซลสูงถึงกว่า 1,200 ล้านบาท เกินกว่าเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ 6.6% มั่นใจทั้งปีรายได้โตตามเป้าที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อหลักทรัพย์"ORI" เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1 ประจำปี 2559 บริษัทฯ เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายถึงกว่า 1,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขาย 773 ล้านบาท มีรายได้ 532 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทสามารถสร้างรายได้ และยอดขายที่ดีกว่าเป้าที่วางไว้ แม้ว่ายอดโอนสิทธิ์บางส่วน จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเมือง และเศรษฐกิจ แต่ความต้องการซื้อจากลูกค้ายังมีอย่างต่อเนื่อง ส่วนยอดขายในไตรมาส 1ของปี 2559 ที่ดีเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่อยู่อาศัยตามแนวสถานีขนส่งมวลชนระบบรางในเขตกรุงเทพมหานครและ ปริมณฑลยังคงได้รับการตอบรับอย่างดียิ่ง
บริษัทยังคงมีผลประกอบการที่ดี และสามารถขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องและประสบผลสำเร็จในทุกโครงการที่เปิดขาย ทำให้ผลประกอบการในไตรมาสแรกของปีนี้เติบโต เกินกว่าเป้าหมายที่บริษัทได้ตั้งไว้ ทั้งในส่วนของการรับรู้รายได้ และยอดขาย แม้ว่าจะเกิดความไม่แน่นอนทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจขึ้นก็ตาม นอกจากนี้บริษัทยังเดินหน้าพัฒนาโครงการตามแผนงานที่วางไว้ในปี 2559 ที่จะเปิดโครงการให้ได้ถึง 10,000 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัท ยังคงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมมาได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยในไตรมาสแรกนี้ มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 45.3% และมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 88.3 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 16.6% ซึ่งนับเป็นประสิทธิภาพที่ดีในลำดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม
ในแง่ความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน บริษัทมีการก่อหนี้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ โดย ณ สิ้นไตรมาสหนึ่งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่เพียงแค่ 1.07 เท่า (IBD/E 0.5) ทั้งนี้ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงความมั่นคงทางการเงิน ตลอดจนศักยภาพในการขยายธุรกิจได้อีกมากในอนาคตโดยสำหรับแผนธุรกิจในปี 2559 นี้ บริษัทยังคงแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 8-10 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้บริษัทมีการเจริญเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องและมั่นคง