กรุงเทพฯ--27 พ.ค.--เอ็ม แอนด์ เอส ครีเอชั่น
ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านครึ่งปีแรกยังไปได้สวย ชี้ความต้องการสร้างบ้านทั่วประเทศโดยเฉพาะภาคใต้ปรับตัวดีขึ้น คาดยอดขายไตรมาส 2 ทำได้ใกล้เคียงเป้าที่ตั้งไว้ มั่นใจครึ่งปีแรกปิดยอดขาย 700 ล้านบาท เผยปี 59 เน้นกลยุทธ์การตลาดท้องถิ่นหรือแอลเอสเอ็ม ควบคู่ทำการตลาดออนไลน์ทุกช่องทาง หวังสร้างการจดจำผู้บริโภคและกระตุ้นยอดขาย เล็งขยับเปิดสาขาใหม่หลังเห็นแววกำลังซื้อฟื้น พร้อมออกสตาร์ทตามโรดแมป 5 ปี ก้าวแรกปรับโฉมตราสินค้าใหม่ เตรียมพร้อมขยายสาขาประเทศเพื่อนบ้าน ลาว กัมพูชา เมียนมา
นายพิศาล ธรรมวิเศษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีดี เฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ เปิดเผยว่า ความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภคและประชาชนทั่วประเทศในช่วงไตรมาส 2 (เม.ย.-มิ.ย. 2559) มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ประเมินจากปริมาณผู้บริโภคที่ติดต่อเข้ามา ณ สาขาที่มีอยู่กว่า 40 แห่งทั่วประเทศ ยังมีความคึกคักใกล้เคียงกับไตรมาสแรก โดยเฉพาะความต้องการสร้างบ้านของประชาชน ในพื้นที่ภาคใต้ปรับตัวดีขึ้นมาก เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ยอดจองสร้างบ้านทุกสาขาของบริษัทฯ ในช่วง 4 เดือนเศษที่ผ่านมา ก็ยังเติบโตได้ใกล้เคียงกับเป้ายอดขายที่ตั้งไว้
สำหรับ ภาพรวมการแข่งขันในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ พบว่าทั้งรายเล็กและรายใหญ่มีการแข่งขันราคากันรุนแรงพอสมควร โดยเฉพาะตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่มีผู้ประกอบการรับสร้างบ้านแข่งขันกันอยู่เกือบ 100 ราย ขณะที่ตลาดรับสร้างบ้านต่างจังหวัด การแข่งขันไม่รุนแรงนักและผู้ประกอบการส่วนใหญ่ เน้นแข่งขันกันที่ความน่าเชื่อถือมากกว่าแข่งราคาในส่วนของบริษัทฯ ก็มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ภายใต้แคมเปญ "เย็นใจวันมหาสงกรานต์" เพื่อคืนกำไรและกระตุ้นการตัดสินใจลูกค้าในช่วงนี้ โดยมอบสิทธิพิเศษ 3 ต่อคือ 1) ฟรีเครื่องปรับอากาศ 1-3 เครื่อง 2) รับส่วนลดเงินจอง 50% มูลค่า 2.5 หมื่นบาท - 5 หมื่นบาท กับส่วนลดเงินสดเพิ่มอีก 5 หมื่นบาท - 1 แสนบาทในวันทำสัญญา และ 3) จะต่อ จะเติม จะเปลี่ยนอะไรก็ได้ตามใจ มูลค่าสูงสุด 2 ล้านบาท ฟรี (ตามระดับราคาบ้าน) คาดว่า 6 เดือนแรกจะสามารถปิดยอดขายได้ประมาณ 700 ล้านบาท
ในส่วนของกลยุทธ์การตลาดของบริษัทฯ ปีนี้ นอกจากการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ภาพรวมของพีดีเฮ้าส์แล้ว บริษัทฯ ยังเน้นกลยุทธ์การตลาดท้องถิ่น หรือ Local Store Marketing (LSM) ผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ ในแบบ Below the line และ Above the line อีกด้วย อาทิ ป้ายโฆษณา หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น วิทยุท้องถิ่น ฟรีแมกกาซีน การออกบูธตามห้างสรรพสินค้าและโมเดิร์นเทรด ฯลฯ ควบคู่กับทำการตลาดออนไลน์ หรือ Social Media Marketing เพิ่มมากขึ้นกว่าทุกปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ รวมถึงการเข้าถึงและตอกย้ำการจดจำของผู้บริโภคกลุ่มป้าหมาย ในทุกพื้นที่ที่มีสาขาตั้งอยู่ทั่วประเทศ
"ปัจจุบัน พีดีเฮ้าส์ ถือได้ว่ามีการขับเคลื่อนด้วยระบบแฟรนไชส์รับสร้างบ้านรายแรกและรายเดียว ภายใต้แนวคิดมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งได้รับการตอบรับด้วยดีจากลูกค้าผู้ใช้บริการสร้างบ้านทั่วประเทศ และนักลงทุนที่ต้องการซื้อระบบและความเชี่ยวชาญภายใต้แบรนด์พีดีเฮ้าส์ โดยในช่วงเริ่มต้นใหม่ๆ ผู้ประกอบการที่อยู่ในแวดวงธุรกิจรับสร้างบ้านต่างมองว่า "เป็นไปไม่ได้" แต่ในระยะเวลาถัดมา บริษัทฯ ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถถ่ายทอดระบบและต่อยอดเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ได้จริง ปัจจุบันจึงเริ่มมีผู้ประกอบการหลายๆ รายในธุรกิจรับสร้างบ้านและธุรกิจอื่น มองแนวทางและความสำเร็จของพีดีเฮ้าส์เป็นตัวอย่าง โดยสนใจจะพัฒนาธุรกิจเป็นระบบแฟรนไชส์บ้างเช่นกัน"
นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดี เฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวเสริมว่า บริษัทฯ มองความสำเร็จในวันนี้ เป็นเพียงแค่ความสำเร็จของจุดเริ่มต้นเท่านั้น แม้ว่าปัจจุบันแฟรนไชส์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์จะก้าวสู่ปีที่ 7 ปีแล้วก็ตาม สิ่งที่พีดีเฮ้าส์จะต้องพิสูจน์ในลำดับต่อไป ได้แก่ ความยั่งยืนของธุรกิจ ซึ่งหัวใจสำคัญก็คือ การรักษามาตรฐานสินค้าและบริการ รวมถึงการยอมรับของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย คู่ค้า นักลงทุน ตลอดจนพิสูจน์ให้เห็นว่าธุรกิจแฟรนไชส์รับสร้างบ้านจะสามารถอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน แม้ว่าจะเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจก็ตาม
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ยอมรับว่าบริษัทฯ มีการชะลอเปิดสาขาแห่งใหม่เอาไว้ ด้วยเพราะกังวลกับปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจที่หดตัว สำหรับในปี 2559 นี้ได้ทบทวนแผนขยายสาขาแห่งใหม่ เพราะเริ่มมองเห็นการฟื้นตัวของกำลังซื้อผู้บริโภคดีขึ้น โดยบริษัทฯ จะกลับมาเปิดสาขาเดิมที่หยุดดำเนินการไว้ชั่วคราวในจังหวัดพื้นที่ภาคใต้ ได้แก่ สาขาจังหวัดกระบี่และสุราษฎร์ธานี สำหรับจังหวัดเป้าหมายในภาคเหนือและภาคอีสานที่จะเปิดสาขาแห่งใหม่คือ สาขาจังหวัดนครพนมและเพชรบูรณ์ อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ไม่ได้ตั้งเป้าว่าต้องเปิดให้ครบโดยเร็ว แต่จะประเมินสถานการณ์และเศรษฐกิจอย่างรอบคอบ และพร้อมจะปรับแผนตามสถานการณ์ หากว่าเศรษฐกิจและการเมืองมีความเสี่ยง ในเบื้องต้นคาดว่าจะเปิดสาขาในปีนี้ 2-3 แห่งเท่านั้น
นายสิทธิพร กล่าวอีกว่า ตามแผนการตลาด 5 ปีของบริษัทฯ (2016-2020) ที่วางไว้ว่าจะรุกขยายตลาดรับสร้างบ้านออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนหรือเออีซี อาทิ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กัมพูชา และเมียนมา ฯลฯ โดยจะเน้นการลงทุนขยายสาขาในรูปแบบการร่วมทุน และระบบแฟรนไชส์รับสร้างบ้าน ล่าสุดบริษัทฯ ได้ทำการเปลี่ยนเครื่องหมายการค้าหรือโลโก้ใหม่ เพื่อต้องการจะสื่อสารแบรนด์พีดีเฮ้าส์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นในสายตาของนักลงทุนและผู้บริโภคทั่วไป โดยสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตที่มั่นคงและโปร่งใสในรูปทรงเครื่องหมายการค้าแบบ 3 มิติ และยังคงใช้โทนสีเขียว-ฟ้า-เทา สื่อถึงความเป็นมิตรต่อธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ก้าวทันเทคโนโลยีที่ทันสมัย และสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์และบริการของพีดีเฮ้าส์
ทั้งนี้บริษัทฯ ได้ยื่นจดลิขสิทธิ์เครื่องหมายการค้าและบริการ ไว้กับกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เมื่อเดือนมกราคม 2559 ที่ผ่านมา หากได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการแล้ว ก็จะยื่นจดลิขสิทธิ์กับประเทศในแถบอาเซียนเป็นลำดับถัดไป ซึ่งเหตุผลของการจดลิขสิทธิ์ดังกล่าว ก็เพื่อเป็นการป้องกันมิให้เกิดปัญหาเรื่องการลอกเลียนเครื่องหมายการค้าและบริการในอนาคต เมื่อบริษัทฯ ขยายสาขาออกไปต่างประเทศตามแผนที่วางไว้