กรุงเทพฯ--27 พ.ค.--ไอทูซี คอมมิวนิเคชั่นส์
กลุ่ม KTIS ชี้ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ได้แรงหนุนจากการรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าใหม่ ประกอบกับราคาน้ำตาลทรายและราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกขยับขึ้น ส่งผลดีต่อสายธุรกิจน้ำตาลและเอทานอล จึงคาดว่าผลการดำเนินงานจะดีกว่าไตรมาสแรก
นายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เปิดเผยว่า สายธุรกิจที่มีรายได้สูงสุดของกลุ่ม KTIS ในไตรมาสแรกของปี 2559 ยังคงเป็นสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ซึ่งมีรายได้ 3,259.0 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 75% ของรายได้รวม 4,339.6 ล้านบาท
"เนื่องจากราคาน้ำตาลและราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในไตรมาสที่ 2 มีแนวโน้มสูงกว่าไตรมาสแรกอย่างชัดเจน จึงคาดว่าผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS ในไตรมาสนี้น่าจะดีกว่าไตรมาสแรก" นายณัฎฐปัญญ์กล่าว
สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล ในไตรมาสแรกของปี 2559 ยังมีการรับรู้รายได้เฉพาะโรงไฟฟ้าเกษตรไทยไบโอเพาเวอร์ กำลังการผลิต 60 เมกะวัตต์ ส่วนโรงไฟฟ้าไทยเอกลักษณ์เพาเวอร์ ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ เพิ่งเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในเชิงพาณิชย์ (COD) เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2559 การรับรู้รายได้จึงเกิดขึ้นในไตรมาสที่สอง และโรงไฟฟ้าอีกแห่งหนึ่ง คือรวมผลไบโอเพาเวอร์ ประมาณการว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ โดยโรงไฟฟ้าทั้ง 3แห่งของกลุ่ม KTIS นี้ ใช้เทคโนโลยีใหม่ที่สามารถผลิตไอน้ำแรงดันสูง ซึ่งไฟฟ้าที่ผลิตได้ส่วนหนึ่งจะนำไปใช้ในกระบวนการผลิตน้ำตาล เพื่อประหยัดการใช้เชื้อเพลิงชานอ้อย ที่เหลือจึงขายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
นายณัฎฐปัญญ์ กล่าวถึงโครงการผลิตน้ำเชื่อม (Liquid Sucrose) และโครงการผลิตน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษ (Super Refined Sugar) ที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจ คือ บริษัท นิสชิน ชูการ์ และบริษัท ซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น ด้วยว่า สำหรับน้ำเชื่อมนั้นบริษัทมีแผนที่จะจำหน่ายให้กับลูกค้าซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการอุตสาหกรรมน้ำอัดลม ส่วนน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษนั้น บริษัทจะทำการผลิตเพื่อการส่งออก ซึ่งมีตลาดรองรับอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ในไตรมาสแรกของปี 2559 กลุ่ม KTIS มีรายได้รวม 4,339.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2558 ที่ทำได้ 3,827.9 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิในไตรมาสแรกของปี 2559 จำนวน 49.7 ล้านบาท