กรุงเทพฯ--1 มิ.ย.--ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานกรรมการธนาคาร ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากวันที่ 9 พฤศจิกายน 2558 ที่ Super Board ให้ความเห็นชอบแผนฟื้นฟูให้ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยหาพันธมิตรร่วมทุน โดยเข้ามาเพิ่มทุนให้ธนาคารมีเงินกองทุนไม่ต่ำกว่า 8.5% และให้ธนาคารแยกหนี้เสียส่วนของลูกค้าที่มิใช่มุสลิมโอนไปยัง AMC ที่จัดตั้งโดยกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ต้นปีที่ผ่านมา จากการหาพันธมิตรร่วมทุนโดยที่ปรึกษาทางการเงินของธนาคาร ซึ่งประกอบไปด้วย บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ แมคควอรี่ จำกัด และมีบริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษากฎหมาย ผู้สนใจที่ยื่นข้อเสนอราคาเบื้องต้น ได้ยื่นข้อเสนอด้วยเงื่อนไขที่ขอเจรจาต่อรอง ซึ่งธนาคารเห็นว่า เงื่อนไขที่เสนอต่อรองอาจกระทบต่อผู้สนใจรายอื่นที่มิได้ยื่นข้อเสนอ จึงมีมติให้ยุติการหาพันธมิตรร่วมทุนในรอบแรก และปรับปรุงเงื่อนไขให้เป็นที่น่าสนใจก่อน
ความคืบหน้าทั้งหมดได้นำเสนอต่อ Super Board เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2559 โดย Super Board มีมติให้ ธนาคารเดินหน้าหาพันธมิตรต่อไป และจัดทำแผนรองรับการดำเนินงานในอนาคต รวมทั้งให้กระทรวงการคลัง เร่งจัดตั้ง AMC เพื่อรับโอนหนี้เสีย
นอกจากนั้น ล่าสุดจากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2559 ของธนาคาร ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2559 ที่ประชุม ได้มีมติอนุมัติในหลักการให้ธนาคารโอนหนี้เสียที่มิใช่ลูกค้ามุสลิมให้กับ AMC และมีมติแต่งตั้งกรรมการ ที่สิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่ง จำนวน 3 ท่าน คือ นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ นายมนต์ชัย รัตนเสถียร และนางสาวปิยวรรณ ล่ามกิจจา กลับเข้าดำรงตำแหน่งอีกวาระหนึ่ง และแต่งตั้ง นายวิทัย รัตนากร รองผู้อำนวยการ กลุ่มลูกค้าธุรกิจและภาครัฐ ธนาคารออมสิน และนางสาววีณา เตชาชัยนิรันดร์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการเพิ่มเติมอีกตำแหน่ง รวมทั้งแต่งตั้งให้ นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ เป็นประธานกรรมการธนาคารต่ออีกวาระหนึ่ง นอกจากนั้น คณะกรรมการธนาคารในการประชุมวันเดียวกัน ได้แต่งตั้ง นางสาววีณา เตชาชัยนิรันดร์ เป็นรักษาการผู้จัดการ แทน นายมนต์ชัย รัตนเสถียร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2559
ที่ผ่านมาจากความพยายามในแก้ไขปัญหา และมุ่งเน้นการดำเนินงานตามพันธกิจอย่างแท้จริง ทำให้ผลประกอบการธนาคารดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สัดส่วนจำนวนลูกค้าเงินฝากมุสลิมเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันเพิ่มเป็น 60% มากกว่าครึ่งหนึ่งของลูกค้าเงินฝากทั้งหมด สัดส่วนเงินฝากกระแสรายวันและเงินฝากออมทรัพย์เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา และสามารถบริหารอัตราผลตอบแทนเงินฝากได้ดี นอกจากนั้น ยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ตลอดจนควบคุมสินเชื่อด้อยคุณภาพให้อยู่ในระดับทรงตัว ทำให้ผลประกอบการดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานในปี 2558 ลดลงเหลือเพียง 39 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิลดจาก 9,545 ล้านบาท เหลือเพียง 4,595 ล้านบาท นายชัยวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย