วช.ให้ทุนอุดหนุนการวิจัยแก่ดร. วันทนีย์ จันทร์เอี่ยม และคณะ ทำการวิจัยเรื่อง “ วิธีคิดของบิดามารดาที่มีลูกสาวเป็นโสเภณี"

ข่าวทั่วไป Friday November 2, 2001 11:11 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--2 พ.ย.--วช.
พ่อแม่คิด ลูกสาวช่วยฐานะทางบ้าน ยอมประกอบอาชีพพิเศษชีวิตผู้คนที่ไม่ได้เกิดมาท่ามกลางความสุขสบาย ฐานะทางบ้านที่เพียบพร้อมไปด้วยทรัพย์ศฤงคาร ต่างต้องดิ้นรนทำมาหากินเพื่อให้ชีวิตอยู่รอดไปในแต่ละวัน ในสภาวะเศรษฐกิจตัวใครตัวมัน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของผู้คนในสังคมแทบจะไม่มีให้เห็น ปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องดูจะเป็นปัญหาใหญ่ หากเมื่อท้องอิ่ม ปัญหาต่างๆก็ลดน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ปัญหาโสเภณี” ที่ผู้คนในสังคมต่างยอมรับว่าเป็นปัญหาโลกแตกที่ไม่มีวันจะหมดสิ้นไปจากสังคมได้ เพราะเมื่อมีผู้ซื้อย่อมจะต้องมีผู้ขาย เฉกเช่นเดียวกับ “ยาเสพติด”
สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ(วช.) ตระหนักถึง คุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่มีความเท่าเทียมกันในเรื่องสิทธิและหน้าที่ จึงให้ทุนอุดหนุนการวิจัยแก่ดร. วันทนีย์ จันทร์เอี่ยม และคณะ จากสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ ทำการวิจัยเรื่อง “ วิธีคิดของบิดามารดาที่มีลูกสาวเป็นโสเภณี โดยสัมภาษณ์บิดามารดาที่มีลูกสาวเป็นโสเภณี ผู้นำชุมชนในหมู่บ้าน เช่น ครู นักพัฒนาที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ ผู้หญิงที่เคยเป็นโสเภณี ผลการวิจัยพบว่า สามารถแบ่งกลุ่มบิดามารดาที่ลูกสาวไปเป็นโสเภณีได้ 4 กลุ่มคือ
1. พ่อแม่ที่รู้ว่าลูกสาวไปขายตัวด้วยความเต็มใจและเปิดเผยต่อสาธารณชน
2.พ่อแม่ที่รู้ ยินยอม ผลักดันให้ลูกสาวไปเป็นโสเภณีด้วยความเต็มใจ แต่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณชน หากจะยอมรับก็เป็นไปในลักษณะ”เป็นนัยๆ” ไม่เปิดเผยเหมือนกรณีแรก
3. พ่อแม่ที่รู้ แต่ไม่เต็มใจให้ลูกไปเป็นโสเภณี แต่มิอาจจะห้ามปรามลูกได้
4.พ่อแม่ที่ไม่รู้ว่าลูกไปค้าประเวณี แต่มีความเข้าใจว่าลูกไปทำงานอย่างอื่น ทั้งนี้พ่อแม่ในกลุ่มแรกมีวิธีคิดที่ไม่มีระบบ คิดแบบขาดคุณธรรม เห็นแก่คุณค่าเทียมของวัตถุสิ่งของ ขาดความสามารถในการมองเห็นคุณโทษและทางออกของปัญหาในระยะยาวอย่างครบวงจร
ส่วนพ่อแม่กลุ่มที่ 2 มีวิธีคิดเหมือนกลุ่มแรกแต่จะอยู่ในวงของการรับรู้มากกว่าว่าเป็นพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนจากมาตรฐานศีลธรรมของสังคม แต่ก็พยายามบอกตัวเองว่า นั่นเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ไม่มีทางเลือก ลูกเต็มใจไปเพื่อความกตัญญูต่อพ่อแม่ ไม่ได้ทุกข์ยาก มีเงินทองกลับมา เป็นการพยายามบอกตนเองและผู้อื่นเพื่อลดความรู้สึกผิดในใจ
ในขณะที่พ่อแม่กลุ่มที่ 3 รู้ว่าลูกไปเป็นโสเภณี แต่ไม่สามารถห้ามปรามลูกได้ มีวิธีคิดที่มีความเอาใจใส่ มีเหตุมีผล สามารถแยกแยะปัญหาได้ มีความเมตตา ห่วงใยลูก พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ และละอายต่อบาป มีวิธีคิดที่ดีกว่า 2 ตัวอย่างแรก แม้จะไม่สามารถห้ามปรามลูกได้ เพราะลูกสาวมีวิธีคิดที่แตกต่างจากพ่อแม่ ก็เนื่องจากมองเห็นคุณค่าของวัตถุสิ่งของ และเห็นคุณค่าการแสดงออกซึ่งความกตัญญูต่อบิดามารดา ส่วนพ่อแม่กลุ่มสุดท้ายที่ไม่รู้ว่าลูกสาวไปค้าประเวณี แต่เข้าใจว่าไปทำงานอย่างอื่นก็มีวิธีการคิดแบบไม่คิดหรือหยุดคิด เพราะไม่มีข้อมูลข่าวสารจึงทำให้ไม่ต้องคิดวิตกวิจารณ์อะไร ผู้วิจัยได้สรุปว่า การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในชนบทต้องทำควบคู่ไปกับระบบการสื่อสารที่เหมาะสมและถูกต้อง รวมทั้งให้ความสำคัญกับการศึกษาทั้งรุ่น พ่อ แม่ รุ่นลูก ตลอดจนเด็กรุ่นใหม่ โดยเฉพาะเด็กชายให้เห็นคุณค่าของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของสตรีเพศแม่ ไม่ใช่มองเป็นแค่ สินค้าทางเพศหรือมองเป็นเพศที่มีบทบาทเป็นแค่ “ผู้ให้บริการ ” เท่านั้น--จบ--
-สส-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ